“วิทยา” ไม่เชื่อมีทุจริตจัดซื้อเครื่องฆ่าเชื้อแสงยูวี ชี้อาจถูกสอดไส้ แปลงเอกสาร เตรียมสั่งประชุม สสจ.กำชับห้ามโกง ขู่ สตง.เตรียมตรวจสอบหากสามัคคีล็อกสเปกทุกจังหวัดเอาผิดตายยกพวง ด้าน สสจ.สงขลา ยันยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง ไม่ล็อกสปกอยู่ระหว่างหารือ ปัดไม่มีใบสั่งจากส่วนกลาง แค่ทำหนังสือแจ้งให้เตรียมตัวล่วงหน้า
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งของ สธ.ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ 86,000 ล้านบาท โดยเฉพาะการจัดซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตร้าไวโอเลตแบบระบบปิด ให้กับทุกจังหวัดๆ ละ 15 เครื่อง ราคาเครื่องละ 40,000 บาท ว่า ที่ผ่านมา ยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนการทุจริตแต่อย่างใด แต่ได้เห็นเอกสารที่ระบุว่ามีการทุจริตจัดซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรค ของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สงขลา (สสจ.) แล้ว เบื้องต้นยังไม่เชื่อว่า 100% เป็นการทุจริต เพราะเอกสารที่เห็นเป็นเพียงสำเนาเท่านั้น ยังไม่ใช่เอกสารฉบับจริง จึงอาจมีการตัดทอน หรือสอดไส้เอกสารอื่นๆ เพิ่มเข้าไป เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่า สธ.มีการทุจริตเกิดขึ้น โดยเฉพาะใบเสนอราคาที่มีเพียง 1 บริษัทที่เสนอราคาแข่งขันนั้น ที่จริงแล้วงอาจมีการเสนอราคามากกว่า 1 บริษัทก็ได้
“ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ จะเชิญ สสจ.สงขลา มาชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร และในเร็วๆ นี้ ตนจะเชิญประชุม สสจ.ทั่วประเทศ เพื่อมอบนโยบายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการไทยเข้มแข็ง และกำชับเรื่องการทุจริตว่าต้องไม่เกิดขึ้น เพราะหากมีการร้องเรียน ผมจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทันที และหากใครมีข้อมูลเกี่ยวกับทุจริตสามารถร้องเรียนมาที่ผมได้โดยตรง จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย” นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ส่วนการกำหนดราคากลางของเครื่องทำลายเชื้อโรค เครื่องละ 40,000 บาทนั้น คาดว่า เป็นเพียงกำหนดเพดานงบประมาณเท่านั้น ไม่จำเป็นว่าทุกจังหวัดจะต้องจัดซื้ออุปกรณ์ชิ้นนี้ในราคา 40,000 บาทก็ได้ หากมีบริษัทใดเสนอราคามาต่ำกว่า หรือซื้อเครื่องขนาดเล็กลงมาก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละพื้นที่ แต่หากซื้อแล้วมีเงินเหลือก็ต้องนำมาคืนส่วนกลาง เช่น ให้งบ 40,000 บาท แต่ซื้อของไปเพียง 25,000 บาท ส่วนส่วนต่างที่เหลืออีก 15,000 บาท ก็ต้องนำคืนรัฐบาล
นายวิทยา กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล มีวัตถุประสงค์ให้แต่ละพื้นที่จัดซื้อจัดจ้างกันเอง เพื่อเลือกสิ่งที่สอดคล้องและเสนอความต้องการแต่ละพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นโครงการต่างๆ จึงจะไม่มีสเปกกลางจาก สธ.กำหนด ซึ่งวิธีนี้จะทำให้การทุจริตเกิดขึ้นได้ยาก หลังจากมีการจัดซื้อ หรือประมูลก่อสร้างไปแล้ว จะต้องส่งรายงานการเบิกจ่ายเงินมาให้ส่วนกลางตรวจสอบ หากพบว่าทุกจังหวัดจัดซื้อของยี่ห้อเดียวกันครบเหมือนกันหมดก็แสดงว่าเกิดการทุจริต ล็อกสเปกแน่นอน เพราะไม่มีทางเป็นไปได้ที่ทั้ง 76 จังหวัดจะซื้อของเหมือนกัน
“ในอดีตที่ผ่านมาการจัดซื้อจัดจ้างมีส่วนกลางเป็นคนกำหนดสเปกให้ท้องถิ่นจัดซื้อตาม ก็ถูกกล่าวหาว่าล็อกสเปก ดังนั้น ในครั้งนี้รัฐบาลได้ปลดล็อก โดยไม่มีสเปกให้ แต่ให้ท้องถิ่นไปจัดซื้อกันเองได้ตามสะดวก ซื้ออะไรมาก็ค่อยมาเบิกเงิน แต่หากยังจะสามัคคีกันล็อกสเปกซื้อของเหมือนกันอีก ผมก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ เพราะสุดท้ายจะมีการตรวจสอบจากสตง. หากพบความผิดก็ถูกดำเนินคดียกทั้งพวง” นายวิทยา กล่าว
ด้านนพ.สุเทพ วัชรปิยานันทน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ไม่เชื่อว่า หนังสือของสำนักงานปลัด สธ.จากส่วนกลางจะเป็นการล็อกสเปกแต่อย่างใด คาดว่า เป็นเพียงการแจ้งให้เตรียมการในการหารายละเอียดต่างๆของผลิตภัณฑ์ ครุภัณฑ์ที่ต้องจัดซื้อจัดจ้างไว้ล่วงหน้า สำหรับปีงบประมาณ 2553 ของโครงการไทยเข้มแข็ง เพื่อให้พร้อมในการ ดำเนินการจัดซื้อโดยไม่เสียเวลามาหาข้อมูลอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในส่วนของจังหวัดสงขลายังไม่มีการจัดซื้อจังจ้างใดๆ ทั้งสิ้น แต่อยู่ระหว่างให้ทางโรงพยาบาลชุมชนดำเนินการหาข้อมูลอยู่รายละเอียดอยู่
“ส่วนประเด็นเรื่องที่มีการล็อกสเปกราคากลางเครื่องทำลายเชื้อราคาสูงจำนวน 4 หมื่นบาทนั้น จริงๆแล้วเครื่องดังกล่าวมีหลายราคา ตั้งแต่ 20,000-60,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและขนาดของเครื่อง แต่ที่มีการระบุราคากลาง 4 หมื่นบาทนั้น น่าจะเป็นราคาที่ให้แต่ละโรงพยาบาลนำมาเปรียบเทียบพิจารณาราคาที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ของที่สมราคากันเอง” นพ.สุเทพ กล่าว
นพ.สุเทพ กล่าวต่อว่า โดยปกติที่ จ.สงขลา หากจะมีการจัดซื้อครุภัณฑ์จะเป็นการจัดซื้อแบบรวม ช่วยให้ได้ราคาไม่แพงอยู่แล้ว ทั้งนี้หากซื้อเครื่องมือในราคาแพงเกินความเป็นจริง หรือซื้อของไม่ดีราคาแพงก็ไม่รอดพ้นการตรวจสอบของสตง.อยู่แล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อเครื่องดังกล่าวโดยเลือกจากบริษัทเพียงแห่งเดียว เพราะเป็นอุปกรณ์ทั่วไป มีหลายบริษัทที่สามารถผลิตได้
