เลขาฯ สปสช.ห่วงการโอนสิทธิบุตรและคู่สมรสผู้ประกันตนไปอยู่ในระบบประกันสังคม จะทำให้เสียประโยชน์มากกว่า เนื่องจากประกันสังคมออกแบบเอื้อคนเมือง รพ.ที่ดูแลส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ แต่บุตรและคู่สมรสผู้ประกันตนส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงการโอนสิทธิบุตรและคู่สมรสผู้ประกันตนไปอยู่ในระบบประกันสังคมว่า คาดว่ากลุ่มคนดังกล่าวที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะมีทั้งสิ้น 5.7 ล้านคน หากมีการโอนสิทธิไป ก็เท่ากับว่า สปสช.จะต้องแบ่งค่าใช้จ่ายรายหัวกลุ่มคนดังกล่าวหัวละ 800 บาท ซึ่งเป็นการคำนวณทางหลักคณิตศาสตร์การประกัน เนื่องจากบุตรและคู่สมรสเป็นกลุ่มคนในช่วงวัยหนุ่มสาวขณะนี้ไม่มีความชัดเจนว่าเด็กอยู่ในเกณฑ์อายุเท่าไร และคู่สมรสที่มีสิทธิต้องจดทะเบียนสมรสหรือไม่ ปกติค่าใช้จ่ายรายหัวที่ สปสช.ได้รับจากรัฐบาลได้มีการหักค่าแรงออกไปร้อยละ 30 ซึ่งการคำนวณนี้เป็นการคิดตามความเป็นจริง
นพ.วินัย กล่าวว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือ ประกันสังคมควรปรับระบบการดูแลบุตรและคู่สมรสผู้ประกันตนที่จะโอนสิทธิไป เนื่องจากระบบประกันสังคมออกแบบให้ดูแลเฉพาะคนเมือง โรงพยาบาลที่ดูแลส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ แทบทั้งสิ้น แต่บุตรและคู่สมรสผู้ประกันตนส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด ที่มีทั้งโรงพยาบาลตำบลและอำเภอคอยดูแล บางรายป่วยเป็นไตวายเรื้อรังทาง สปสช.ก็จัดระบบให้ล้างไตผ่านหน้าท้อง มีเจ้าหน้าที่ดูแลถึงบ้าน แต่หากโอนสิทธิไปประกันสังคม กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังนี้จะทำอย่างไร มีระบบอะไรรองรับ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งระบบ สปสช.ก็มีมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คอยดูแลกรณีได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล โดยจ่ายค่าชดเชยทันทีไม่ต้องสอบสวนหาสาเหตุ แต่ประกันสังคมยังไม่มีระบบนี้
ส่วนที่ว่าควรมีการทำประชาพิจารณ์หรือไม่ นพ.วินัย กล่าวว่า ควรกลับไปสอบถามกับรัฐบาล สปสช.ไม่ใช่ผู้ได้รับผลกระทบ เพราะการโอนสิทธิก็จะเหลือคนดูแลน้อยลง ที่ผ่านมาการบริหารจัดการ สปสช.สามารถกระจายการรักษาพยาบาล ทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบสุขภาพมากขึ้น เพระแม้มีสิทธิการรักษาแต่หากเข้าถึงการรักษายากลำบาก ก็จะไม่เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ ในวันที่ 8 กันยายนจะมีการประชุมร่วมกับระหว่างนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข เพื่อหาเงื่อนไข ชี้แนะแนวทาง การเปลี่ยนแปลงสิทธิให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มคนดังกล่าว ที่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวถึงการโอนสิทธิบุตรและคู่สมรสผู้ประกันตนไปอยู่ในระบบประกันสังคมว่า คาดว่ากลุ่มคนดังกล่าวที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะมีทั้งสิ้น 5.7 ล้านคน หากมีการโอนสิทธิไป ก็เท่ากับว่า สปสช.จะต้องแบ่งค่าใช้จ่ายรายหัวกลุ่มคนดังกล่าวหัวละ 800 บาท ซึ่งเป็นการคำนวณทางหลักคณิตศาสตร์การประกัน เนื่องจากบุตรและคู่สมรสเป็นกลุ่มคนในช่วงวัยหนุ่มสาวขณะนี้ไม่มีความชัดเจนว่าเด็กอยู่ในเกณฑ์อายุเท่าไร และคู่สมรสที่มีสิทธิต้องจดทะเบียนสมรสหรือไม่ ปกติค่าใช้จ่ายรายหัวที่ สปสช.ได้รับจากรัฐบาลได้มีการหักค่าแรงออกไปร้อยละ 30 ซึ่งการคำนวณนี้เป็นการคิดตามความเป็นจริง
นพ.วินัย กล่าวว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือ ประกันสังคมควรปรับระบบการดูแลบุตรและคู่สมรสผู้ประกันตนที่จะโอนสิทธิไป เนื่องจากระบบประกันสังคมออกแบบให้ดูแลเฉพาะคนเมือง โรงพยาบาลที่ดูแลส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ แทบทั้งสิ้น แต่บุตรและคู่สมรสผู้ประกันตนส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด ที่มีทั้งโรงพยาบาลตำบลและอำเภอคอยดูแล บางรายป่วยเป็นไตวายเรื้อรังทาง สปสช.ก็จัดระบบให้ล้างไตผ่านหน้าท้อง มีเจ้าหน้าที่ดูแลถึงบ้าน แต่หากโอนสิทธิไปประกันสังคม กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังนี้จะทำอย่างไร มีระบบอะไรรองรับ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกทั้งระบบ สปสช.ก็มีมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คอยดูแลกรณีได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล โดยจ่ายค่าชดเชยทันทีไม่ต้องสอบสวนหาสาเหตุ แต่ประกันสังคมยังไม่มีระบบนี้
ส่วนที่ว่าควรมีการทำประชาพิจารณ์หรือไม่ นพ.วินัย กล่าวว่า ควรกลับไปสอบถามกับรัฐบาล สปสช.ไม่ใช่ผู้ได้รับผลกระทบ เพราะการโอนสิทธิก็จะเหลือคนดูแลน้อยลง ที่ผ่านมาการบริหารจัดการ สปสช.สามารถกระจายการรักษาพยาบาล ทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบสุขภาพมากขึ้น เพระแม้มีสิทธิการรักษาแต่หากเข้าถึงการรักษายากลำบาก ก็จะไม่เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ ในวันที่ 8 กันยายนจะมีการประชุมร่วมกับระหว่างนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข เพื่อหาเงื่อนไข ชี้แนะแนวทาง การเปลี่ยนแปลงสิทธิให้เกิดประโยชน์กับกลุ่มคนดังกล่าว ที่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
