“วิทยา” ระบุโอนคู่สมรส-บุตรผู้ประกันตน 5.7 ล้านคนไปใช้สิทธิประกันสังคมย้ายคน แต่ไม่จัดสรรงบเพิ่ม ชี้ไม่เป็นภาระกองทุนเพราะมีเงินตุนกว่าแสนล้าน รับอุ้มสปสช.เต็มที่ ด้าน สวรส.เตรียมนัดถก 8 ก.ย.นี้ สปสช.เสนอโอนเงินรายหัวให้ได้เต็มที่เฉลี่ย 700 บาทต่อคน
วันนี้ (3 ก.ย.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการพิจารณาแนวทางการโอนย้ายคู่สมรสและบุตรของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมจากเดิมที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไปให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ดูแล ซึ่ง สปส.ได้ของบเหมาจ่ายรายหัวของคนกลุ่มนี้คืนจาก สปสช.ทั้งหมด รวมเป็นเงิน 14,000 ล้านบาทว่า การโอนสิทธิ์คู่สมรสและบุตรของผู้ประกันตนจำนวน 5.7 ล้านคนจาก สปสช. ไปให้ สปส.ดูแลภายในปีนี้ หรือปี 2553 รัฐบาลก็จะยังไม่เพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัวให้ สปสช. เพราะได้มีการพิจารณางบเหมาจ่ายรายหัวปี 2553 ไปแล้ว คือ 2,401.33 บาทต่อคนต่อปี แต่ในปีต่อๆ ไป รัฐบาล จะสนับสนุนงบประมาณให้ สปสช. เพิ่มขึ้น เพื่อให้ระบบดำเนินโครงการให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้
“ส่วนการดำเนินงานของ สปส.นั้น คิดว่ารัฐบาลคงไม่ต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม เนื่องจากคู่สมรสและบุตรที่จะโอนย้ายไป 5.7 ล้านคน คงไม่เป็นภาระกับกองทุนประกันสังคมมากนัก เพราะกองทุนดังกล่าวมีเงินนิ่งๆ ในกองทุนเป็นแสนล้านบาท แต่หากกระทบกระเทือนกองทุนทำให้มีงบประมาณลดลง รัฐบาลจึงค่อยมาช่วยเหลือ” นายวิทยา กล่าว
ด้านนพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขจะมีการจัดประชุมหารือนักวิชาการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ในวันที่ 8 กันยายนนี้ เพราะหากมีการดำเนินการจริง สปสช.จะต้องโอนสิทธิของคู่สมรส และบุตร จำนวน 5.7 ล้านคนที่เดิมมีสิทธิ์อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ของ สปสช.ไปให้ สปส.ดูแล โดยเบื้องต้น สปสช.คงไม่สามารถโอนงบเหมาจ่ายรายหัวของ 5.7 ล้านคนที่ต้องโอนสิทธิไปอยู่กับ สปส.ได้ทั้งหมด คือ 2,401.33 บาทต่อคนต่อปี รวมเป็นเงิน 14,000 ล้านบาท ตามที่สปส. ได้รายงานให้ ครม.รับทราบได้ แต่ สปสช.จะเสนอโอนงบประมาณให้ สปส.ได้เพียง 4,000 ล้านบาทเท่านั้น หรือเฉลี่ยคนละ 700 บาทเท่านั้น เพราะ สปสช.ต้องหักค่าดำเนินการต่างๆ ออกด้วย
“เรื่องโอนงบประมาณจำเป็นต้องพิจารณาว่า สปส.ควรได้รับงบประมาณดำเนินการที่แท้จริงเป็นจำนวนเท่าใด และงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวที่ สปสช.จะได้รับการชดเชยมาจำนวนเท่าใด เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารของ สปสช. และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป เพื่อเป็นจุดยืนของ สปสช.ต่อเรื่องที่เกิดขึ้น” นพ.วินัย กล่าว
วันนี้ (3 ก.ย.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการพิจารณาแนวทางการโอนย้ายคู่สมรสและบุตรของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมจากเดิมที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไปให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ดูแล ซึ่ง สปส.ได้ของบเหมาจ่ายรายหัวของคนกลุ่มนี้คืนจาก สปสช.ทั้งหมด รวมเป็นเงิน 14,000 ล้านบาทว่า การโอนสิทธิ์คู่สมรสและบุตรของผู้ประกันตนจำนวน 5.7 ล้านคนจาก สปสช. ไปให้ สปส.ดูแลภายในปีนี้ หรือปี 2553 รัฐบาลก็จะยังไม่เพิ่มงบเหมาจ่ายรายหัวให้ สปสช. เพราะได้มีการพิจารณางบเหมาจ่ายรายหัวปี 2553 ไปแล้ว คือ 2,401.33 บาทต่อคนต่อปี แต่ในปีต่อๆ ไป รัฐบาล จะสนับสนุนงบประมาณให้ สปสช. เพิ่มขึ้น เพื่อให้ระบบดำเนินโครงการให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้
“ส่วนการดำเนินงานของ สปส.นั้น คิดว่ารัฐบาลคงไม่ต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม เนื่องจากคู่สมรสและบุตรที่จะโอนย้ายไป 5.7 ล้านคน คงไม่เป็นภาระกับกองทุนประกันสังคมมากนัก เพราะกองทุนดังกล่าวมีเงินนิ่งๆ ในกองทุนเป็นแสนล้านบาท แต่หากกระทบกระเทือนกองทุนทำให้มีงบประมาณลดลง รัฐบาลจึงค่อยมาช่วยเหลือ” นายวิทยา กล่าว
ด้านนพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขจะมีการจัดประชุมหารือนักวิชาการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ในวันที่ 8 กันยายนนี้ เพราะหากมีการดำเนินการจริง สปสช.จะต้องโอนสิทธิของคู่สมรส และบุตร จำนวน 5.7 ล้านคนที่เดิมมีสิทธิ์อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ของ สปสช.ไปให้ สปส.ดูแล โดยเบื้องต้น สปสช.คงไม่สามารถโอนงบเหมาจ่ายรายหัวของ 5.7 ล้านคนที่ต้องโอนสิทธิไปอยู่กับ สปส.ได้ทั้งหมด คือ 2,401.33 บาทต่อคนต่อปี รวมเป็นเงิน 14,000 ล้านบาท ตามที่สปส. ได้รายงานให้ ครม.รับทราบได้ แต่ สปสช.จะเสนอโอนงบประมาณให้ สปส.ได้เพียง 4,000 ล้านบาทเท่านั้น หรือเฉลี่ยคนละ 700 บาทเท่านั้น เพราะ สปสช.ต้องหักค่าดำเนินการต่างๆ ออกด้วย
“เรื่องโอนงบประมาณจำเป็นต้องพิจารณาว่า สปส.ควรได้รับงบประมาณดำเนินการที่แท้จริงเป็นจำนวนเท่าใด และงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวที่ สปสช.จะได้รับการชดเชยมาจำนวนเท่าใด เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารของ สปสช. และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป เพื่อเป็นจุดยืนของ สปสช.ต่อเรื่องที่เกิดขึ้น” นพ.วินัย กล่าว