“รองผู้ว่าฯประกอบ” ส่งทีมที่ปรึกษา สำรวจพื้นที่บางแวก ก่อนนำมาเจรจากับชาวป้อมหากาฬแบบรายครอบครัว ยันไม่ได้รังแกชาวบ้านแต่ทำตามหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
นายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยความคืบหน้าแนวทางการแก้ไขปัญหาการเวนคืนที่ดินของภาครัฐ ในกรณีชุมชนป้อมมหากาฬ ว่า วันนี้ กทม.ได้ส่งทีมที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.ลงพื้นที่ตรวจสอบที่อยู่อาศัย ในพื้นที่บางแวก โดยเฉพาะในเรื่องรายละเอียดด้านสาธารณูปโภค รวมทั้งอาชีพในพื้นที่ เพื่อนำรายละเอียดในแต่ละด้าน มาหารือพร้อมกับเจรจาการรื้อย้ายกับชาวบ้านชุมชนป้อมมหากาฬแบบรายครอบครัว โดยจะสอบถามว่าชาวบ้านต้องการอยู่ในพื้นที่เมื่อใด ต้องการทำอาชีพใด รวมทั้งอยากให้ช่วยเหลือลูกหลานให้เรียนในโรงเรียนสังกัด กทม.ก็พร้อมจะให้ความดูแลเต็มที่ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการตัดสินใจที่ง่ายมากขึ้น เนื่องจากการต่อรองของแกนนำชุมชนป้อมมหากาฬก่อนหน้านี้ ที่เรียกร้องให้ กทม.ทำประชาพิจารณ์เรื่องการย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่นั้น กทม.ไม่สามารถทำให้ได้ เพราะมีคำสั่งพระราชกฤษฎีการเวนคืน (พ.ร.ฎ.) เวนคืนที่ดิน พ.ศ.2535 ให้พื้นที่ดังกล่าวป็นของ กทม.แล้ว รวมทั้งสั่งให้ กทม.ดำเนินการตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงเลยจุดของการทำประชาพิจารณ์มาแล้ว อีกทั้งหาก กทม. ไม่ทำตามจะเข้าข่ายผิดมาตรา 157 ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ครวละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะทำให้ กทม.มีความผิดตามกฎหมายทันที จึงขอให้ชาวบ้านได้เข้าใจในจุดนี้ด้วย ว่า กทม.ไม่ได้รังแกชาวบ้าน แต่ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
นายประกอบ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้กำหนดว่าเรื่องการรื้อย้ายออกจากพื้นที่นั้น จะต้องออกให้ภายในเมื่อใด แต่จะเร่งใช้วิธีการเจรจากับชาวบ้านแบบอะลุ้มอล่วยที่สุดในการเจรจากับ และจะชาวบ้านเป็นรายครอบครัวไป และหากครัวเรือนใดต้องการย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ที่ กทม.เตรียมเอาไว้ให้ กทม.ก็พร้อมจะอำนวยความสะดวกค่ารื้อย้ายและการดำเนินการอื่นๆ ที่ กทม.สามารถทำได้
นายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยความคืบหน้าแนวทางการแก้ไขปัญหาการเวนคืนที่ดินของภาครัฐ ในกรณีชุมชนป้อมมหากาฬ ว่า วันนี้ กทม.ได้ส่งทีมที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.ลงพื้นที่ตรวจสอบที่อยู่อาศัย ในพื้นที่บางแวก โดยเฉพาะในเรื่องรายละเอียดด้านสาธารณูปโภค รวมทั้งอาชีพในพื้นที่ เพื่อนำรายละเอียดในแต่ละด้าน มาหารือพร้อมกับเจรจาการรื้อย้ายกับชาวบ้านชุมชนป้อมมหากาฬแบบรายครอบครัว โดยจะสอบถามว่าชาวบ้านต้องการอยู่ในพื้นที่เมื่อใด ต้องการทำอาชีพใด รวมทั้งอยากให้ช่วยเหลือลูกหลานให้เรียนในโรงเรียนสังกัด กทม.ก็พร้อมจะให้ความดูแลเต็มที่ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการตัดสินใจที่ง่ายมากขึ้น เนื่องจากการต่อรองของแกนนำชุมชนป้อมมหากาฬก่อนหน้านี้ ที่เรียกร้องให้ กทม.ทำประชาพิจารณ์เรื่องการย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่นั้น กทม.ไม่สามารถทำให้ได้ เพราะมีคำสั่งพระราชกฤษฎีการเวนคืน (พ.ร.ฎ.) เวนคืนที่ดิน พ.ศ.2535 ให้พื้นที่ดังกล่าวป็นของ กทม.แล้ว รวมทั้งสั่งให้ กทม.ดำเนินการตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงเลยจุดของการทำประชาพิจารณ์มาแล้ว อีกทั้งหาก กทม. ไม่ทำตามจะเข้าข่ายผิดมาตรา 157 ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ครวละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะทำให้ กทม.มีความผิดตามกฎหมายทันที จึงขอให้ชาวบ้านได้เข้าใจในจุดนี้ด้วย ว่า กทม.ไม่ได้รังแกชาวบ้าน แต่ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
นายประกอบ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้กำหนดว่าเรื่องการรื้อย้ายออกจากพื้นที่นั้น จะต้องออกให้ภายในเมื่อใด แต่จะเร่งใช้วิธีการเจรจากับชาวบ้านแบบอะลุ้มอล่วยที่สุดในการเจรจากับ และจะชาวบ้านเป็นรายครอบครัวไป และหากครัวเรือนใดต้องการย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ที่ กทม.เตรียมเอาไว้ให้ กทม.ก็พร้อมจะอำนวยความสะดวกค่ารื้อย้ายและการดำเนินการอื่นๆ ที่ กทม.สามารถทำได้