xs
xsm
sm
md
lg

จวก ก.ทรัพย์ ยื้อตั้งองค์กร สวล.ทำเอกชนแหยงลงทุนมาบตาพุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
สช.ชี้ ปัญหาเอกชนไม่กล้าลงทุนมาบตาพุดเหตุแนวปฏิบัติตามมาตรา 67 ยังไม่ชัดเจน ทส.ยื้อไม่ผลักดันจัดตั้งองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม เกี่ยงให้ สช.พิจารณาผลกระทบด้านสุขภาพ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง ยันชะลอขยายโรงงานไม่กระทบลงทุน เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจโลกหดตัว คณะกรรมการอีสเทิร์นซีบอร์ดประชุมหาทางออก 4 มิ.ย.นี้ ก่อนนำเสนอ ครม.ต่อไป

จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี มีมติมอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกหรือคณะกรรมการอีสเทิร์นซีบอร์ด ที่มี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาให้ความเห็นข้อเสนอของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เกี่ยวกับการทบทวนปรับแนวทางการพัฒนา จ.ระยอง และการทบทวนการสั่งชะลอโครงการลงทุนก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่ขยายนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และบ้านฉาง ใน จ.ระยอง เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมกังวลว่าจะส่งผลกระทบให้การลงทุนกว่า 60 โครงการ มูลค่า 4 แสนล้านต้องหยุดชะงักและอาจทำให้ดัชนีการลงทุนภาคอุตสาหกรรมในปีนี้ติดลบนั้น

ที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการ สช.กล่าวว่า ปัญหาที่ภาคเอกชนไม่สามารถเดินหน้าการลงทุนก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอของ คสช.เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ คสช. เรื่อง ผลกระทบจากอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด เพียง 3 ข้อจากที่เสนอไป 5 ข้อเท่านั้น โดยในวันที่ 4 มิถุนายน เวลา 09.30 น.คณะกรรมการอีสเทิร์นซีบอร์ด จะมีการพิจารณารายละเอียดการปรับแนวทางการพัฒนา จ.ระยอง และการชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนนำกลับเข้าที่ประชุม ครม.ต่อไป

“คสช.ไม่ได้เสนอให้ระงับโครงการ แต่ให้ชะลอจนกว่าจะมีกำหนดแนวทางการทำงานตามม.67 แห่งรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ.2550 ให้ชัดเจน โดยครอบคลุม 4 ประเด็น คือ 1.กำหนดประเภทและขนาดของกิจกรรมและโครงการที่ส่งผลกระทบรุนแรง 2.แนวทางการประเมินผลกระทบที่ครอบคลุมเรื่องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 3.ให้มีกระบวนการรับฟังความเห็นจากสาธารณสาธารณะ และ 4.ให้มีองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพร่วมพิจารณาผลกระทบ ซึ่งปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลก และต้องพิจารณาปัจจัยและแนวโน้มในประเทศด้วย โดยเฉพาะธุรกิจด้านปิโตรเลียมที่ชะลอตัวทั่วโลก ไม่ใช่เป็นผลกระทบจากการสั่งชะลอโครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ แล้วทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว” นพ.อำพล กล่าว

นพ.อำพล กล่าวต่อว่า ปัญหาความล่าช้าที่เกิดขึ้น มาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ไม่เร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้มีความชัดเจน ทั้งที่ผ่านมาสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้มีการว่าจ้างมหาวิทยาลัยมหิดล ศึกษายกร่าง พ.ร.บ.องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พ.ศ. ... เสร็จเรียบร้อยแล้ว และผ่านการประชาพิจารณ์ 4 ภาค รวมถึงมีการว่าจ้างมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อศึกษาการกำหนดหลักเกณฑ์ประเภท และขนาดของกิจกรรมโครงการก่อสร้างที่ส่งผลกระทบรุนแรง เสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่กลับไม่มีการผลักดันเข้าสู่กระบวนการประกาศให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย และไม่มีการเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะทราบ

“ที่สำคัญ ล่าสุด ทส.ยังมีหนังสือมาถึง สช.ชี้แจงว่า จะขอรับผิดชอบพิจารณาเฉพาะผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)เท่านั้น แต่จะไม่ขอรับผิดชอบการพิจารณาผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) โดยให้เป็นหน้าที่ของ คสช.ซึ่งเรื่องนี้ผมจะขอหารือในที่ประชุมคณะกรรมการอีสเทิร์นซีบอร์ด ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ ทส. จะไม่รับผิดชอบ และจะรายงานให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน คสช.รับทราบปัญหา เพราะตามกฎหมายแล้ว คสช.ไม่มีอำนาจในการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจอนุญาต อนุมัติโครงการรัฐหรือเอกชนใดๆ ทั้งสิ้น” นพ.อำพล กล่าว

ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานการพัฒนาระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ กล่าวว่า ในวันที่ 4 มิถุนายน คณะกรรมการอีสเทิร์นซีบอร์ด จะมีการพิจารณาทบทวนและปรับแนวทางการพัฒนา จ.ระยอง ในการจัดทำผังเมืองในพื้นที่แนวกันชน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมข้อมูลทางวิชาการการกำหนดพื้นที่กั้นชนควรมีระยะเท่าใด ซึ่งในประเทศออสเตรเลียมีการกำหนดพื้นที่กันชน 1-5 กิโลเมตร รวมถึงการปรับปรุงระบบจัดการทรัพยากรน้ำใหม่ เนื่องจากในพื้นที่ฝั่งตะวันออกมีปัญหาการขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะในปีที่แห้งแล้ง ขณะเดียวในระดับพื้นที่น้ำจากบ่อและลำคลองก็ไม่สามารถใช้ได้เพราะเต็มไปด้วยสารพิษ ไม่มีน้ำประปาต้องซื้อน้ำใช้อุปโภคบริโภคกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจ

ดร.เดชรัต กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ควรมีการมีการจัดตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยให้มีการจัดระบบมาตรการทางการคลังใหม่ โดยให้ธุรกิจที่ทำในพื้นที่ จ.ระยอง มีการจัดเก็บภาษีและกลับมาหมุนเวียนในพื้นที่ จากเดิมที่ธุรกิจในพื้นที่ 80% เป็นการขึ้นทะเบียนในกรุงเทพมหานคร ขณะที่ธุรกิจในพื้นที่ จ.ระยองมีแค่ 16% เท่านั้น ทำให้การลงทุนด้านสังคมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีไม่ถึง 1% ของผลผลิตมวลรวมทั้งหมดของพื้นที่ ส่งผลให้ปัญหาสังคมตามมา เช่น อุบัติเหตุ การติดเชื้อเอชไอวี การตั้งครรภ์ในหญิงวัยรุ่น การอพยพของแรงงานเข้ามาทำงานใน จ.ระยอง เป็นจำนวนมาก แต่การจัดสรรงบประมาณในการดูแลประชากรขึ้นอยู่กับจำนวนที่มีการลงทะเบียนไว้

“ส่วนการเสนอให้ชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ ในพื้นที่ ทำได้ทุกๆ 1 ปี เพื่อไม่ให้ผลกระทบต่อชุมชน โดยปฏิบัติตามแนวทางการทำงาน ตาม.ม.67 โดยดำเนินการ 3 ข้อ คือ 1.ประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 2.การเปิดรับฟังความคิดเห็น 3.องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมเสนอให้ความเห็น โดยมีกรอบแนวทางการปฏิบัติอยู่แล้ว”ดร.เดชรัต กล่าว

ดร.เดชรัต กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ จ.ระยอง และผู้เกี่ยวข้อง ได้รวบรวมรายชื่อให้ได้ 10,000 ชื่อ เสนอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเห็นชอบบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พ.ศ. ... เพื่อให้โรงงานอุตสาหกรรมก่อสร้างใหม่ได้มีแนวทางการดำเนินโครงการที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน และสิ่งแวดล้อม

“ผลกระทบจากการที่ ทส.ไม่ประกาศบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ทำให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องประกาศหลักเกณฑ์ประเภท และขนาดของกิจกรรมโครงการก่อสร้างที่ส่งผลกระทบรุนแรง ออกมาใช้แทน ซึ่งก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างแท้จริง เพราะแม้บริษัทเอกชน จะทำรายงานอีไอเอ เอชไอเอ แต่สุดท้ายก็ไม่มีองค์กรอิสระมาพิจารณาอนุมัติให้อยู่ดี” ดร.เดชรัต กล่าว

ดร.เดชรัต กล่าวด้วยว่า ได้หารือกับนักธุรกิจ ผู้ลงทุนและผู้ประกอบการในพื้นที่ จ.ระยอง รายใหญ่พบว่า ต้องการให้มีความชัดเจนใน ม.67 เพื่อให้ธุรกิจสามารถไปต่อได้ ส่วนจะต้องมีการปรับปรุงธุรกิจอย่างไรอยู่ที่ขั้นตอนกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนั้น รัฐจึงต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เกิดความชัดเจน

สำหรับข้อเสนอของคสช.มีดังนี้ 1.การทบทวนปรับแนวทางพัฒนา จ.ระยอง 2.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูลผลกระทบทางสุขภาพจากอุตสาหกรรม และวิธีการป้องกัน สร้างเสริมสุขภาพในภาวะมลพิษให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง 3.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนและกฎการปฏิบัติสำหรับการป้องกันและบรรเทาอุบัติภัยจากอุตสาหกรรม อุบัติภัยจากสารเคมีระดับจังหวัด 4.ให้ คสช.สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานและความเข้มแข็งของประชาชน และ 5.การชะลอการขยายและก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ในระหว่างการทบทวนและปรับแนวทางการพัฒนาฯ ให้มีกระบวนการตัดสินใจในการอนุมัติ อนุญาต ให้ความเห็นชอบการขยายโรงงานอุตสาหกรรมใหม่
กำลังโหลดความคิดเห็น