ASTVผู้จัดการรายวัน - “รองผู้ว่าฯ ธีระชน” เสนอแนวคิดออกข้อบัญญัติกรุงเทพธนาคม อุดช่องโหว่ให้ KT บริหารจัดการบีทีเอส-บีอาร์ทีได้สะดวกโยธิน เตรียมนำเข้าที่ประชุมผู้บริหารเร็วๆ นี้ ก่อนนำเข้าที่ประชุมสภากทม.เดือนเมษายน 2552
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เปิดเผยว่า ตามที่กทม.ว่าจ้างให้บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) เข้ามาบริหารจัดการโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส 2.2 กิโลเมตร และโครงการรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที ซึ่งได้ผ่านการตีความจากคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งเปรียบเสมือนที่ปรึกษาทางกฎหมายว่าสถานะของกรุงเทพธนาคม เป็นวิสาหกิจของ กทม.สามารถดำเนินการทุกภารกิจที่ กทม.มอบหมายได้ โดยไม่ถือว่าเป็นกิจการที่ต้องเข้ากระบวนการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนแต่กฤษฎีกาก็ตีความด้วยว่ากรณีกรุงเทพธนาคมจะว่าจ้างบริษัทอื่นๆ เช่น บีทีเอสเข้ามาเดินรถ กทม.จะต้องจ่ายค่าจ้าง และห้ามไม่ให้บริษัทดังกล่าวเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียกับรายได้ หรือค่าโดยสาร
ดังนั้น ตนจึงมีแนวคิดที่จะเสนอต่อที่ประชุมคณะผู้บริหาร กทม.เกี่ยวกับการออกข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพาณิชย์ เรื่อง บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เหมือนกับที่ กทม.เคยออกข้อบัญญัติว่าด้วยการพาณิชย์ทั้งที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานตลาด กทม.สถานธนานุบาล และสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อให้กรุงเทพธนาคมเป็นองค์ประกอบเดียวกับกทม.จริงๆ แม้ว่าจะผ่านการตีความจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วก็ตาม ซึ่งการออกข้อบัญญัติดังกล่าวจะเป็นการปิดช่องโหว่สร้างความมั่นคงให้กับ กทม.ในการว่าจ้างให้กรุงเทพธนาคมดำเนินภารกิจใดๆ ต่อไปในอนาคต
นายธีระชน กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนจะเร่งรวบรวมรายละเอียดและนำเสนอต่อที่ประชุมคณะผู้บริหารกทม.โดยเร็วที่สุดเพื่อให้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบและนำเสนอสู่สภา กทม.ในการเปิดประชุมสมัยสามัญเดือนเมษายนนี้ เพื่อออกเป็นข้อบัญญัติต่อไป
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เปิดเผยว่า ตามที่กทม.ว่าจ้างให้บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) เข้ามาบริหารจัดการโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส 2.2 กิโลเมตร และโครงการรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที ซึ่งได้ผ่านการตีความจากคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งเปรียบเสมือนที่ปรึกษาทางกฎหมายว่าสถานะของกรุงเทพธนาคม เป็นวิสาหกิจของ กทม.สามารถดำเนินการทุกภารกิจที่ กทม.มอบหมายได้ โดยไม่ถือว่าเป็นกิจการที่ต้องเข้ากระบวนการตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนแต่กฤษฎีกาก็ตีความด้วยว่ากรณีกรุงเทพธนาคมจะว่าจ้างบริษัทอื่นๆ เช่น บีทีเอสเข้ามาเดินรถ กทม.จะต้องจ่ายค่าจ้าง และห้ามไม่ให้บริษัทดังกล่าวเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียกับรายได้ หรือค่าโดยสาร
ดังนั้น ตนจึงมีแนวคิดที่จะเสนอต่อที่ประชุมคณะผู้บริหาร กทม.เกี่ยวกับการออกข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพาณิชย์ เรื่อง บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เหมือนกับที่ กทม.เคยออกข้อบัญญัติว่าด้วยการพาณิชย์ทั้งที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานตลาด กทม.สถานธนานุบาล และสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อให้กรุงเทพธนาคมเป็นองค์ประกอบเดียวกับกทม.จริงๆ แม้ว่าจะผ่านการตีความจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วก็ตาม ซึ่งการออกข้อบัญญัติดังกล่าวจะเป็นการปิดช่องโหว่สร้างความมั่นคงให้กับ กทม.ในการว่าจ้างให้กรุงเทพธนาคมดำเนินภารกิจใดๆ ต่อไปในอนาคต
นายธีระชน กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนจะเร่งรวบรวมรายละเอียดและนำเสนอต่อที่ประชุมคณะผู้บริหารกทม.โดยเร็วที่สุดเพื่อให้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบและนำเสนอสู่สภา กทม.ในการเปิดประชุมสมัยสามัญเดือนเมษายนนี้ เพื่อออกเป็นข้อบัญญัติต่อไป
