รองประธาน กมธ.เด็ก สตรี สภาผู้แทนฯ แฉการคุกคามทางเพศ มักเกิดช่วงไปต่างประเทศ ทั้งส่วนราชการ-รัฐสภา เตรียมร่างประมวลจริยธรรมจัดการนักการเมืองขี้หลี ต้องมีมาตรการลงโทษจริงจัง ทั้งการตำหนิ ประณาม เพื่อให้สังคมรับรู้
นางผุสดี ตามไท ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงปัญหาการคุกคามทางเพศในหน่วยงานราชการ ว่า มีการพูดกันมากในทุกองค์กรรวมถึงที่รัฐสภา โดยเฉพาะมักจะเกิดในช่วงการเดินทางไปต่างประเทศ รวมถึงการทำงานประจำวันที่บางครั้งมีการสร้างบรรยากาศให้อึดอัด เช่น การพูด 2 แง่ 2 ง่าม การดูรูปลามกในที่ทำงาน ซึ่งตนเห็นด้วยว่า บทลงโทษ นอกจากจะมีในทางอาญาแล้ว ก็ควรจะมีทางแพ่งด้วย เพราะที่ผ่านมา เมื่อมีการคุกคาม แต่ไม่มีการตีค่าความเสียหาย คนที่มีพฤติกรรมคุกคามจึงไม่รู้สึกว่าเสียอะไร จึงกลายเป็นเรื่องปกติที่มีการยอมๆ กันไป ซึ่งไม่ได้ เพราะที่จริงเป็นเรื่องวินัยและคุณธรรมในตัวเองที่สำคัญที่สุด อย่างนักการเมืองที่สหรัฐฯ มีรูปถ่ายออกมาว่า มีผู้หญิงที่ไม่ใช่ภรรยานั่งตักก็ยังต้องถอนตัวจากการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เรื่องนี้สังคมต้องช่วยกันสร้างมาตรฐานให้สูงและสื่อก็มีส่วนสำคัญ เพราะที่ผ่านมามีการสร้างมายาคติ เช่น เมื่อมีเหตุคุกคามเกิดกับผู้หญิงก็จะผลักภาระว่า ผู้หญิงแต่งกายล่อแหลม หรือในละคร พระเอกสามารถข่มขืนนางเอกได้แล้วไม่ผิด อย่างนี้ไม่ใช่ตนเข้าใจเรื่องสีสันของละคร แต่ต้องสอดแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องนี้ หรือพยายามตัดฉากดังกล่าวก็ได้
นางผุสดี กล่าวต่อว่า สำหรับในวงราชการที่มองกันว่า เรื่องเกิดขึ้นแล้วเงียบหายไปที่จริงในส่วนราชการก็มีการลงโทษบ้าง เช่น ปลดออกหรือตัดเงินเดือน เพียงแต่ไม่เป็นข่าวคนที่ทำผิดเลยไม่รู้สึกละอาย กฎหมายที่จะออกตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2551 ร่างเสร็จแล้ว และมีความชัดเจนว่าการกระทำคุกคามแบบใด คืออะไร และควรจะมีคลินิกบำบัดพฤติกรรมแบบนี้เหมือนอย่างในต่างประเทศ และในหน่วยราชการควรจะมีกลไกในองค์กรของตนเองเพื่อดูแลเรื่องนี้ และต้องเป็นเกณฑ์หลักในความก้าวหน้าทางอาชีพ ส่วนรัฐสภา ขณะนี้มีการร่างประมวลจริยธรรม ก็มีประเด็นการคุกคามทางเพศในประมวลฯ ด้วย ซึ่งต้องมีมาตรการที่ให้ใช้ได้จริง เช่น การตำหนิ การประณาม เพื่อให้สังคมเรียนรู้ ยิ่งเป็นนักการเมืองต้องตรวจสอบเข้มข้นในเรื่องนี้เพราะถือเป็นบุคคลสาธารณะ เพื่อยกมาตรฐานสังคม และจะมาเละเทะกันแบบเดิมไม่ได้
นางผุสดี ตามไท ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงปัญหาการคุกคามทางเพศในหน่วยงานราชการ ว่า มีการพูดกันมากในทุกองค์กรรวมถึงที่รัฐสภา โดยเฉพาะมักจะเกิดในช่วงการเดินทางไปต่างประเทศ รวมถึงการทำงานประจำวันที่บางครั้งมีการสร้างบรรยากาศให้อึดอัด เช่น การพูด 2 แง่ 2 ง่าม การดูรูปลามกในที่ทำงาน ซึ่งตนเห็นด้วยว่า บทลงโทษ นอกจากจะมีในทางอาญาแล้ว ก็ควรจะมีทางแพ่งด้วย เพราะที่ผ่านมา เมื่อมีการคุกคาม แต่ไม่มีการตีค่าความเสียหาย คนที่มีพฤติกรรมคุกคามจึงไม่รู้สึกว่าเสียอะไร จึงกลายเป็นเรื่องปกติที่มีการยอมๆ กันไป ซึ่งไม่ได้ เพราะที่จริงเป็นเรื่องวินัยและคุณธรรมในตัวเองที่สำคัญที่สุด อย่างนักการเมืองที่สหรัฐฯ มีรูปถ่ายออกมาว่า มีผู้หญิงที่ไม่ใช่ภรรยานั่งตักก็ยังต้องถอนตัวจากการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เรื่องนี้สังคมต้องช่วยกันสร้างมาตรฐานให้สูงและสื่อก็มีส่วนสำคัญ เพราะที่ผ่านมามีการสร้างมายาคติ เช่น เมื่อมีเหตุคุกคามเกิดกับผู้หญิงก็จะผลักภาระว่า ผู้หญิงแต่งกายล่อแหลม หรือในละคร พระเอกสามารถข่มขืนนางเอกได้แล้วไม่ผิด อย่างนี้ไม่ใช่ตนเข้าใจเรื่องสีสันของละคร แต่ต้องสอดแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องนี้ หรือพยายามตัดฉากดังกล่าวก็ได้
นางผุสดี กล่าวต่อว่า สำหรับในวงราชการที่มองกันว่า เรื่องเกิดขึ้นแล้วเงียบหายไปที่จริงในส่วนราชการก็มีการลงโทษบ้าง เช่น ปลดออกหรือตัดเงินเดือน เพียงแต่ไม่เป็นข่าวคนที่ทำผิดเลยไม่รู้สึกละอาย กฎหมายที่จะออกตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน 2551 ร่างเสร็จแล้ว และมีความชัดเจนว่าการกระทำคุกคามแบบใด คืออะไร และควรจะมีคลินิกบำบัดพฤติกรรมแบบนี้เหมือนอย่างในต่างประเทศ และในหน่วยราชการควรจะมีกลไกในองค์กรของตนเองเพื่อดูแลเรื่องนี้ และต้องเป็นเกณฑ์หลักในความก้าวหน้าทางอาชีพ ส่วนรัฐสภา ขณะนี้มีการร่างประมวลจริยธรรม ก็มีประเด็นการคุกคามทางเพศในประมวลฯ ด้วย ซึ่งต้องมีมาตรการที่ให้ใช้ได้จริง เช่น การตำหนิ การประณาม เพื่อให้สังคมเรียนรู้ ยิ่งเป็นนักการเมืองต้องตรวจสอบเข้มข้นในเรื่องนี้เพราะถือเป็นบุคคลสาธารณะ เพื่อยกมาตรฐานสังคม และจะมาเละเทะกันแบบเดิมไม่ได้
