“หมอประเวศ” เสนอปฏิรูปประเทศไทย เลิกสนใจ “ทักษิณ” ชี้ คนไทยเสพติดประชานิยม ยกเลิกทันทีอาจลงแดงตายได้ แนะค่อยๆ ลด เน้นสร้างชุมชนเข้มแข็ง พึ่งตนเองได้
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่อิมแพค คอนเวชั่นเซ็นเตอร์ เมืองทองธานี นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวในงานมหกรรมสุขภาพชุมชน 2552 ว่า ชุมชนถือเป็นรากฐานสำคัญของสังคม ซึ่งการจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งได้ต้องประกอบด้วย ปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาพของชุมชน การพึ่งพิงตัวเอง การเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน ซึ่งขณะนี้เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เริ่มให้ความสำคัญในเรื่องนี้มีการตั้งคณะกรรมการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งขึ้น ทำให้ชุมชน 76,000 หมู่บ้าน มีความเข้มแข็งทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การศึกษา แต่ส่วนสำคัญ คือ การทำให้เกิดความยั่งยืน
“ขณะนี้ประชาชนเป็นโรคเสพติดประชานิยมต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่ผ่านมา ถ้าจะเลิกทันทีอาจทำให้เกิดอาการลงแดงได้ เหมือนการให้เลิกยาเสพติด จึงต้องค่อยๆ ผ่อน ประกอบกับขณะนี้ถือว่าประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ แต่วิธีดังกล่าวไม่ควรทำอย่างต่อเนื่องทำได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นเพราะไม่เป็นผลดี ควรสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนมากกว่า”นพ.ประเวศ กล่าว
นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการเมดิคอลฮับ หากมีความเป็นธรรมทุกอย่างก็จบ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีความเป็นธรรม กลุ่มคนที่สนับสนุนเมดิคอลฮับ และสร้างนโยบายเช่นนี้ เป็นคนที่มีอำนาจ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชน เป็นนักการเมืองที่มีหุ้นในโรงพยาบาลเอกชน จึงสนใจ และสนับสนุนให้ชาวต่างชาติเข้ามารักษาที่ประเทศไทย แต่อีกด้านเกิดความไม่สมดุลขึ้น เพราะแพทย์ พยาบาล ในชุมชนในภาครัฐ ถูกดึงตัวไปจนเกือบหมด และเกิดความขาดแคลนในมหาวิทยาลัยแพทย์ ทำให้สังคมเกิดความยากลำบากขึ้น หากจะเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อจะต้องมีการเก็บภาษีเพื่อนำเงินเหล่านี้ไปจ้างบุคลากรในชุมชนให้มากขึ้นแทน
เมื่อถามถึงการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ นพ.ประเวศ กล่าวว่า ตนไม่อยากให้ความคิดเห็นเรื่องดังกล่าว เพราะหากให้ความเห็นไปในทางใดทางหนึ่ง ก็จะเกิดความไม่ปรองดองขึ้น พูดได้แต่เพียงว่า ทุกคนต้องช่วยกันทำงานเพื่อประเทศ และลดเงื่อนไขต่างๆ ลง ให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพราะแค่เสนอความเห็นก็อาจกลับไปสู่ความขัดแย้งเหมือนเดิม การปฏิรูปจึงต้องทำทุกภาคส่วนพร้อมๆกัน นอกจากนี้ มองว่า การออกกฎหมายฉบับไหนมาก็เหมือนเดิม หากไม่มีการปฏิรูปประเทศไทยทั้ง 10 ด้านไปพร้อมกันไม่ว่าจะเป็นสังคม การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา ฯลฯ
“ที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสนใจเรื่องของคุณทักษิณ มากเกินไป ควรหันมาสนใจเรื่องอื่น เพราะตอนนี้ประเทศไทยเสมือนรถไฟ ที่จอดพักที่สถานีทักษิณนานเกินไป ควรเดินหน้าต่อได้แล้ว ส่วนการชุมนุมนั้น ใครก็สามารถทำได้ แต่ต้องไม่ใช่ความรุนแรง”นพ.ประเวศ กล่าว
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่อิมแพค คอนเวชั่นเซ็นเตอร์ เมืองทองธานี นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวในงานมหกรรมสุขภาพชุมชน 2552 ว่า ชุมชนถือเป็นรากฐานสำคัญของสังคม ซึ่งการจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งได้ต้องประกอบด้วย ปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาพของชุมชน การพึ่งพิงตัวเอง การเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน ซึ่งขณะนี้เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เริ่มให้ความสำคัญในเรื่องนี้มีการตั้งคณะกรรมการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งขึ้น ทำให้ชุมชน 76,000 หมู่บ้าน มีความเข้มแข็งทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การศึกษา แต่ส่วนสำคัญ คือ การทำให้เกิดความยั่งยืน
“ขณะนี้ประชาชนเป็นโรคเสพติดประชานิยมต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่ผ่านมา ถ้าจะเลิกทันทีอาจทำให้เกิดอาการลงแดงได้ เหมือนการให้เลิกยาเสพติด จึงต้องค่อยๆ ผ่อน ประกอบกับขณะนี้ถือว่าประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ แต่วิธีดังกล่าวไม่ควรทำอย่างต่อเนื่องทำได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นเพราะไม่เป็นผลดี ควรสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนมากกว่า”นพ.ประเวศ กล่าว
นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการเมดิคอลฮับ หากมีความเป็นธรรมทุกอย่างก็จบ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีความเป็นธรรม กลุ่มคนที่สนับสนุนเมดิคอลฮับ และสร้างนโยบายเช่นนี้ เป็นคนที่มีอำนาจ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชน เป็นนักการเมืองที่มีหุ้นในโรงพยาบาลเอกชน จึงสนใจ และสนับสนุนให้ชาวต่างชาติเข้ามารักษาที่ประเทศไทย แต่อีกด้านเกิดความไม่สมดุลขึ้น เพราะแพทย์ พยาบาล ในชุมชนในภาครัฐ ถูกดึงตัวไปจนเกือบหมด และเกิดความขาดแคลนในมหาวิทยาลัยแพทย์ ทำให้สังคมเกิดความยากลำบากขึ้น หากจะเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อจะต้องมีการเก็บภาษีเพื่อนำเงินเหล่านี้ไปจ้างบุคลากรในชุมชนให้มากขึ้นแทน
เมื่อถามถึงการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ นพ.ประเวศ กล่าวว่า ตนไม่อยากให้ความคิดเห็นเรื่องดังกล่าว เพราะหากให้ความเห็นไปในทางใดทางหนึ่ง ก็จะเกิดความไม่ปรองดองขึ้น พูดได้แต่เพียงว่า ทุกคนต้องช่วยกันทำงานเพื่อประเทศ และลดเงื่อนไขต่างๆ ลง ให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพราะแค่เสนอความเห็นก็อาจกลับไปสู่ความขัดแย้งเหมือนเดิม การปฏิรูปจึงต้องทำทุกภาคส่วนพร้อมๆกัน นอกจากนี้ มองว่า การออกกฎหมายฉบับไหนมาก็เหมือนเดิม หากไม่มีการปฏิรูปประเทศไทยทั้ง 10 ด้านไปพร้อมกันไม่ว่าจะเป็นสังคม การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา ฯลฯ
“ที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสนใจเรื่องของคุณทักษิณ มากเกินไป ควรหันมาสนใจเรื่องอื่น เพราะตอนนี้ประเทศไทยเสมือนรถไฟ ที่จอดพักที่สถานีทักษิณนานเกินไป ควรเดินหน้าต่อได้แล้ว ส่วนการชุมนุมนั้น ใครก็สามารถทำได้ แต่ต้องไม่ใช่ความรุนแรง”นพ.ประเวศ กล่าว