วานนี้(18 ก.พ.) ที่อิมแพ็ค คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เมืองทองธานี นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวในงานมหกรรมสุขภาพชุมชน 2552 ว่า ชุมชนถือเป็นรากฐานสำคัญของสังคม ซึ่งการจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งได้ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาพของชุมชน การพึ่งพิงตัวเอง การเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน ซึ่งขณะนี้เห็นว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เริ่มให้ความสำคัญในเรื่องนี้มีการตั้งคณะกรรมการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งขึ้น ทำให้ชุมชน 76,000 หมู่บ้านมีความเข้มแข็งทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การศึกษา แต่ส่วนสำคัญคือการทำให้เกิดความยั่งยืน
"ขณะนี้ประชาชนเป็นโรคเสพติดประชานิยมต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่ผ่านมา ถ้าจะเลิกทันทีอาจทำให้เกิดอาการลงแดงได้ เหมือนการให้เลิกยาเสพติด จึงต้องค่อยๆผ่อน ประกอบกับขณะนี้ถือว่าประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ แต่วิธีดังกล่าวไม่ควรทำอย่างต่อเนื่อง ทำได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นเพราะไม่เป็นผลดี ควรสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนมากกว่า" นพ.ประเวศกล่าว
นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการเมดิคอลฮับ หากมีความเป็นธรรมทุกอย่างก็จบ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีความเป็นธรรม กลุ่มคนที่สนับสนุนเมดิคอลฮับ และสร้างนโยบายเช่นนี้ เป็นคนที่มีอำนาจ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชน เป็นนักการเมืองที่มีหุ้นในโรงพยาบาลเอกชน จึงสนใจและสนับสนุนให้ชาวต่างชาติเข้ามารักษาที่ประเทศไทย แต่อีกด้านเกิดความไม่สมดุลขึ้น เพราะแพทย์ พยาบาล ในชุมชนในภาครัฐ ถูกดึงตัวไปจนเกือบหมด และเกิดความขาดแคลนในมหาวิทยาลัยแพทย์ ทำให้สังคมเกิดความยากลำบากขึ้น หากจะเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อจะต้องมีการเก็บภาษีเพื่อนำเงินเหล่านี้ไปจ้างบุคลากรในชุมชนให้มากขึ้นแทน
เมื่อถามถึงการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ นพ.ประเวศ กล่าวว่า ตนไม่อยากให้ความคิดเห็นเรื่องดังกล่าว เพราะหากให้ความเห็นไปในทางใดทางหนึ่ง ก็จะเกิดความไม่ปรองดองขึ้น พูดได้แต่เพียงว่า ทุกคนต้องช่วยกันทำงานเพื่อประเทศ และลดเงื่อนไขต่างๆลง ให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพราะแค่เสนอความเห็นก็อาจกลับไปสู่ความขัดแย้งเหมือนเดิม การปฏิรูปจึงต้องทำทุกภาคส่วนพร้อมๆกัน นอกจากนี้มองว่าการออกกฎหมายฉบับไหนมาก็เหมือนเดิม หากไม่มีการปฏิรูปประเทศไทยทั้ง 10 ด้านไปพร้อมกันไม่ว่าจะเป็นสังคม การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา ฯลฯ
“ที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสนใจเรื่องของคุณทักษิณ มากเกินไป ควรหันมาสนใจเรื่องอื่น เพราะตอนนี้ประเทศไทยเสมือนรถไฟ ที่จอดพักที่สถานีทักษิณนานเกินไป ควรเดินหน้าต่อได้แล้ว ส่วนการชุมนุมนั้น ใครก็สามารถทำได้ แต่ต้องไม่ใช่ความรุนแรง”นพ.ประเวศ กล่าว
"ขณะนี้ประชาชนเป็นโรคเสพติดประชานิยมต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่ผ่านมา ถ้าจะเลิกทันทีอาจทำให้เกิดอาการลงแดงได้ เหมือนการให้เลิกยาเสพติด จึงต้องค่อยๆผ่อน ประกอบกับขณะนี้ถือว่าประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ แต่วิธีดังกล่าวไม่ควรทำอย่างต่อเนื่อง ทำได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นเพราะไม่เป็นผลดี ควรสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนมากกว่า" นพ.ประเวศกล่าว
นพ.ประเวศ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการเมดิคอลฮับ หากมีความเป็นธรรมทุกอย่างก็จบ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีความเป็นธรรม กลุ่มคนที่สนับสนุนเมดิคอลฮับ และสร้างนโยบายเช่นนี้ เป็นคนที่มีอำนาจ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชน เป็นนักการเมืองที่มีหุ้นในโรงพยาบาลเอกชน จึงสนใจและสนับสนุนให้ชาวต่างชาติเข้ามารักษาที่ประเทศไทย แต่อีกด้านเกิดความไม่สมดุลขึ้น เพราะแพทย์ พยาบาล ในชุมชนในภาครัฐ ถูกดึงตัวไปจนเกือบหมด และเกิดความขาดแคลนในมหาวิทยาลัยแพทย์ ทำให้สังคมเกิดความยากลำบากขึ้น หากจะเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อจะต้องมีการเก็บภาษีเพื่อนำเงินเหล่านี้ไปจ้างบุคลากรในชุมชนให้มากขึ้นแทน
เมื่อถามถึงการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ นพ.ประเวศ กล่าวว่า ตนไม่อยากให้ความคิดเห็นเรื่องดังกล่าว เพราะหากให้ความเห็นไปในทางใดทางหนึ่ง ก็จะเกิดความไม่ปรองดองขึ้น พูดได้แต่เพียงว่า ทุกคนต้องช่วยกันทำงานเพื่อประเทศ และลดเงื่อนไขต่างๆลง ให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เพราะแค่เสนอความเห็นก็อาจกลับไปสู่ความขัดแย้งเหมือนเดิม การปฏิรูปจึงต้องทำทุกภาคส่วนพร้อมๆกัน นอกจากนี้มองว่าการออกกฎหมายฉบับไหนมาก็เหมือนเดิม หากไม่มีการปฏิรูปประเทศไทยทั้ง 10 ด้านไปพร้อมกันไม่ว่าจะเป็นสังคม การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา ฯลฯ
“ที่ผ่านมา ประเทศไทยให้ความสนใจเรื่องของคุณทักษิณ มากเกินไป ควรหันมาสนใจเรื่องอื่น เพราะตอนนี้ประเทศไทยเสมือนรถไฟ ที่จอดพักที่สถานีทักษิณนานเกินไป ควรเดินหน้าต่อได้แล้ว ส่วนการชุมนุมนั้น ใครก็สามารถทำได้ แต่ต้องไม่ใช่ความรุนแรง”นพ.ประเวศ กล่าว