สธ.ประกาศให้ อสม.กว่า 8 แสนคน เป็นกองทัพหน้าสร้างอนาคตประเทศไทยในปี 2552 ประเดิมงานเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 6 เดือน เป็นแบบอย่างโลก โดยรัฐบาลจัดงบ 3,000 ล้านบาท เป็นขวัญกำลังใจในการทำงานของอสม.ในช่วงภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ 6 เดือน เชื่อไม่ทำให้จิตวิญญาณอาสาสมัครหายไป พร้อมเร่งจัดทำแนวทางในการเบิกจ่ายงบประมาณได้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่
วันนี้ (21 ม.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล กรุงเทพมหานคร นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดการประชุมผู้บริหาร เจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และแกนนำ อสม.ทั่วประเทศ จำนวน 300 คน เพื่อเตรียมความพร้อมในการยกระดับ อสม.ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในชุมชน สนองตามนโยบายรัฐบาล ทำงานอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเริ่มดำเนินงานเชิงรุกทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2552 เป็นต้นไป โดยมีค่าตอบแทนที่ไม่ใช่เงินเดือน เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน
นายวิทยา กล่าวว่า แนวทางการทำงานใหม่ของ อสม.ในปี 2552 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะให้อสม.ที่มีอยู่ 830,000 คนทั่วประเทศ เป็นกองทัพหน้าสร้างอนาคตประเทศไทย สร้างสุขอนามัยคนไทย 63 ล้านคน โดยจะให้รณรงค์ให้หญิงไทยที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งมีปีละประมาณ 800,000 คน เลี้ยงลูกด้วยนมแม่นานติดต่อกัน 6 เดือน ให้เป็นประเทศตัวอย่างของโลก เนื่องจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ และองค์การยูนิเซฟล่าสุดในปี 2549 พบหญิงไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 5 เดือนน้อยมาก เพียงร้อยละ 5 เท่านั้น ต่อไปนี้จะให้ อสม.เป็นพ่อแม่คนที่ 2 สำรวจหญิงตั้งครรภ์ในหมู่บ้าน และออกไปเยี่ยมบ้านดูแลจนกระทั่งหลังคลอด หวังผลอีก 15 ปีข้างหน้า เด็กไทยจะเป็นเด็กสุขภาพแข็งแรง มีไอคิวดี สูงไม่น้อยกว่า 175 เซนติเมตร นอกจากนี้ อสม.จะทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพในท้องถิ่น ชุมชน และช่วยดูแลผู้สูงอายุและคนพิการที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ซึ่งมีประมาณ 2 ล้านคนด้วย จะทำให้ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพทั่วถึงยิ่งขึ้น
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ในปีนี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณกลางปีกระตุ้นเศรษฐกิจ สนับสนุนการทำงานของ อสม.ทั่วประเทศ จำนวน 3,000 ล้านบาท เป็นค่าตอบแทนเดือนละ 600 บาทต่อคน ซึ่งไม่ใช่เงินเดือน เริ่มจ่ายตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน 2552 เงินดังกล่าวถือเป็นเงินแห่งเกียรติยศที่มอบให้ในคุณงามความดีของ อสม.ที่เสียสละช่วยงานภาครัฐมาเป็นเวลา 30 ปี โดยไม่เคยรับค่าตอบแทนมาก่อน มั่นใจว่าเงินส่วนนี้ไม่ได้ทำให้จิตวิญญาณของ อสม.ลดลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ อสม.ทำงานเชิงรุกมากขึ้นด้วย
ด้าน นพ.ปราชญ์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้เริ่มพัฒนาให้มี อสม.เป็นตัวแทนประชาชน ร่วมแก้ไขและพัฒนางานสาธารณสุขของประเทศตั้งแต่ พ.ศ.2521 ขณะนี้งานยั่งยืนย่างเข้าปีที่ 31 มี อสม.ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน ชุมชน โดย อสม.1 คน ดูแล 10-15 หลังคาเรือน และมีผลงานเป็นที่ยอมรับของสังคมและองค์การอนามัยโลก เช่น งานควบคุมโรคไข้หวัดนก โดยภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 กระทรวงสาธารณสุขจะจัดประชุมแกนนำ อสม.ระดับตำบลทั่วประเทศทั้ง 4 ภาค ที่ จ.นครราชสีมา นครศรีธรรมราช พิษณุโลก และชลบุรี เพื่อรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของ อสม. และนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติหรือประกาศกระทรวงเกี่ยวกับ อสม. ในการกำหนดบทบาทและภารกิจในการดูแลสุขภาพประชาชนที่ชัดเจนยิ่ง