สธ.เร่งพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ทั่วประเทศ ให้เป็นนักจัดการสุขภาพของชุมชนร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อบต. โดยเพิ่มบทบาทบริการด้านสาธารณสุขให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาการเจ็บป่วยในพื้นที่ เผยแนวทางสร้างขวัญกำลังใจ มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ อสม.ดีเด่น ยกระดับการทำงานร่วมกับ สธ. ให้ทุนการศึกษาบุตร-หลาน พร้อมเสนอค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มขึ้น
วันนี้ (13 พ.ย.) ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนต์โฮเต็ล กรุงเทพมหานคร นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการมอบนโยบายและชี้แจงแนวทางการสร้างความร่วมมือในการดำเนินการสุขภาพภาคประชาชน ปี 2552 พร้อมทั้งกล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข ให้อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 8 แสนคนที่กระจายทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของประชาชน และทำหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันโรค ถือได้ว่า อสม.เป็นกำลังภาคประชาชนที่มีความเข้มแข็งมาก ทำให้ประเทศไทยมีผลงานควบคุมป้องกันโรคระบาดในระดับแนวหน้าของโลก เช่น การป้องกันโรคไข้หวัดนกในคน ซึ่งไทยไม่พบผู้ติดเชื้อเป็นเวลา 2 ปีกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พบว่า ปัญหาสาธารณสุขมีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน อัมพาต รวมทั้งปัญหาผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น อีกทั้งมีโรคที่กลับมาใหม่ เช่น โรคมาลาเรีย โรคเท้าช้าง ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน ซึ่งทาง อสม.ก็ต้องฝึกอบรมเพื่อเตรียมการรับมือ
นายวิชาญ กล่าวต่อว่า ในปี 2552 กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายพัฒนาศักยภาพ อสม.ให้เป็นผู้จัดการสุขภาพของชุมชนทั้งเขตเมืองและชนบท ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยจัดอบรมเพิ่มความรู้ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาสาธารณสุขที่เปลี่ยนไป สามารถจัดบริการด้านสาธารณสุขได้ และจะให้ อสม.จัดทำแผนสาธารณสุขของชุมชน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก อบต.และกองทุนหลักประกันสุขภาพได้ ทำให้การทำงานระหว่าง อสม. อบต.และสถานีอนามัย มีความใกล้ชิด เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นพี่เลี้ยง ให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการ องค์ความรู้ต่างๆ ที่จำเป็น ให้ อสม.ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพในชุมชน
“สำหรับในปีงบประมาณนี้ จะมีการจัดสรรเงินเพื่อดูแล อสม.มากยิ่งขึ้น โดยอาจมีการเพิ่มการฝึกอบรม สร้างศักยภาพแก่ อสม.เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยจะมีการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ อสม.ดีเด่นในแต่ละปี และจะมีการยกระดับโดยการเชิญไปเป็นวิทยากร บรรยาย เพื่อสร้างความเชื่อถือแก่สังคม ในส่วนของสวัสดิการต่างๆ ก็อาจมีการให้สิทธิพิเศษในด้านของการดูแลสุขภาพ หรือด้านการศึกษาของบุตรหลาน สนับสนุนทุนการศึกษา หาก อสม.ที่ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ อาจนำมาฝึกอบรมทำหน้าที่ในการรักษา อย่างจริงจัง อีกทั้งหาก อสม.ที่มีประสบการณ์การทำงานก็อาจมีการสนับสนุนตำแหน่งที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาทำงาน ในลักษณะของลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งยังมีการสนับสนุนค่าตอบแทน เช่น ให้ค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานในกรณีที่ต้องปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ พิจารณารายละเอียด โดยแนวทางที่กล่าวมานี้จะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินงานของอสม.ต่อไป” รมช.สธ.กล่าว
ด้านนายแพทย์สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ในการดำเนินงานตามนโยบายปี 2552 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะจัดอบรมตัวแทน อสม.จากทุกหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศชุดแรกก่อนจำนวน 150,000 คน ประเด็นสำคัญของการจัดอบรม จะมุ่งเน้นให้ อสม.ปรับพฤติกรรมเพื่อเป็นต้นแบบด้านสุขภาพทั้งเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การดูแลความสะอาดต่างๆ การดูแลสุขภาพจิต การผลักดันโครงการสายใยรักครอบครัว ช่วยลดความรุนแรงในครอบครัว การดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อลดภาวะโลกร้อน และการป้องกันโรคที่สำคัญ เช่น วัณโรค ไข้หวัดนก โรคฉี่หนู และไข้เลือดออก เป็นต้น คาดว่าจะเริ่มอบรมได้ในเดือนหน้า
วันนี้ (13 พ.ย.) ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนต์โฮเต็ล กรุงเทพมหานคร นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการมอบนโยบายและชี้แจงแนวทางการสร้างความร่วมมือในการดำเนินการสุขภาพภาคประชาชน ปี 2552 พร้อมทั้งกล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข ให้อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 8 แสนคนที่กระจายทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของประชาชน และทำหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันโรค ถือได้ว่า อสม.เป็นกำลังภาคประชาชนที่มีความเข้มแข็งมาก ทำให้ประเทศไทยมีผลงานควบคุมป้องกันโรคระบาดในระดับแนวหน้าของโลก เช่น การป้องกันโรคไข้หวัดนกในคน ซึ่งไทยไม่พบผู้ติดเชื้อเป็นเวลา 2 ปีกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พบว่า ปัญหาสาธารณสุขมีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน อัมพาต รวมทั้งปัญหาผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น อีกทั้งมีโรคที่กลับมาใหม่ เช่น โรคมาลาเรีย โรคเท้าช้าง ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน ซึ่งทาง อสม.ก็ต้องฝึกอบรมเพื่อเตรียมการรับมือ
นายวิชาญ กล่าวต่อว่า ในปี 2552 กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายพัฒนาศักยภาพ อสม.ให้เป็นผู้จัดการสุขภาพของชุมชนทั้งเขตเมืองและชนบท ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยจัดอบรมเพิ่มความรู้ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาสาธารณสุขที่เปลี่ยนไป สามารถจัดบริการด้านสาธารณสุขได้ และจะให้ อสม.จัดทำแผนสาธารณสุขของชุมชน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก อบต.และกองทุนหลักประกันสุขภาพได้ ทำให้การทำงานระหว่าง อสม. อบต.และสถานีอนามัย มีความใกล้ชิด เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นพี่เลี้ยง ให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการ องค์ความรู้ต่างๆ ที่จำเป็น ให้ อสม.ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพในชุมชน
“สำหรับในปีงบประมาณนี้ จะมีการจัดสรรเงินเพื่อดูแล อสม.มากยิ่งขึ้น โดยอาจมีการเพิ่มการฝึกอบรม สร้างศักยภาพแก่ อสม.เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยจะมีการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ อสม.ดีเด่นในแต่ละปี และจะมีการยกระดับโดยการเชิญไปเป็นวิทยากร บรรยาย เพื่อสร้างความเชื่อถือแก่สังคม ในส่วนของสวัสดิการต่างๆ ก็อาจมีการให้สิทธิพิเศษในด้านของการดูแลสุขภาพ หรือด้านการศึกษาของบุตรหลาน สนับสนุนทุนการศึกษา หาก อสม.ที่ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ อาจนำมาฝึกอบรมทำหน้าที่ในการรักษา อย่างจริงจัง อีกทั้งหาก อสม.ที่มีประสบการณ์การทำงานก็อาจมีการสนับสนุนตำแหน่งที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาทำงาน ในลักษณะของลูกจ้างประจำของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งยังมีการสนับสนุนค่าตอบแทน เช่น ให้ค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานในกรณีที่ต้องปฏิบัติงานเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ พิจารณารายละเอียด โดยแนวทางที่กล่าวมานี้จะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินงานของอสม.ต่อไป” รมช.สธ.กล่าว
ด้านนายแพทย์สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ในการดำเนินงานตามนโยบายปี 2552 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะจัดอบรมตัวแทน อสม.จากทุกหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศชุดแรกก่อนจำนวน 150,000 คน ประเด็นสำคัญของการจัดอบรม จะมุ่งเน้นให้ อสม.ปรับพฤติกรรมเพื่อเป็นต้นแบบด้านสุขภาพทั้งเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การดูแลความสะอาดต่างๆ การดูแลสุขภาพจิต การผลักดันโครงการสายใยรักครอบครัว ช่วยลดความรุนแรงในครอบครัว การดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อลดภาวะโลกร้อน และการป้องกันโรคที่สำคัญ เช่น วัณโรค ไข้หวัดนก โรคฉี่หนู และไข้เลือดออก เป็นต้น คาดว่าจะเริ่มอบรมได้ในเดือนหน้า
