xs
xsm
sm
md
lg

“วิทยา” เข้า ก.หมอจุดธูปไฟลุกท่วม ลั่นควัก 3 พันล.ซื้อใจ อสม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สธ.ขณะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งธูปในกระถางเกิดลุกไหม้ยากที่จะดับได้
“วิทยา” รมว.สาธารณสุข เข้ารับตำแหน่งกระทรวงหมอ ชูนโยบายเร่งด่วนประชานิยมให้ค่าตอบแทน อสม.คนละ 600 บาท ต่อเดือน ใช้งบ 3 พันล้าน เป็นกำลังใจที่ทำงานหนัก มั่นใจไม่มีใครคัดค้าน พร้อมตั้งจุดตรวจวัดความสุข ดูแลคนเดินทางช่วงปีใหม่ ส่วนซีแอล-ควบคุมเหล้า-เมกะโปรเจกต์ ขอดูรายละเอียดก่อนเดินหน้าต่อ ย้ำซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คอร์รัปชัน ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ขณะที่คดีทุจริตของ สธ.ต้องเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย

วันนี้ (24 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยมี นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีทุกกรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับและมอบดอกไม้แสดงความยินดี

เมื่อเดินทางมาถึงกระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ขึ้นไปยังห้องทำงานที่ชั้น 4 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข บูชาพระพุทธรูปประจำห้องทำงาน จากนั้นได้ทำพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข โดยขณะที่ได้ทำพิธีสักการะ พระพุทธนิรามัย ที่หอพระพุทธรูปประจำ สธ. ธูปกระถางติดไฟลุกท่วม แม้พยายามจะดับไฟแต่ธูปก็ไม่ดับ หลังจากนั้นจึงทำการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกระทรวงทั้งหมด ซึ่งภายหลังสื่อมวลชนได้สอบถามนายวิทยาว่า การที่ไฟลุกท่วมเช่นนั้นเป็นลางอะไรหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ไฟลุกเป็นการสื่อถึงโชติช่วงชัชวาล

ต่อจากนั้น นายวิทยาจึงได้พบปะข้าราชการประจำกระทรวงสาธารณสุข โดยนายวิทยา กล่าวว่า จากการประชุมนโยบายของรัฐบาลได้ทำร่างนโยบายเร่งด่วนด้านสาธารณสุขโดยให้เน้นการป้องกันมากกว่าการตั้งรับรักษาพยาบาล ทั้งนี้จะอาศัยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวนกว่า 8.3 แสนคนรุกเข้าไปรณรงค์ป้องกันดูแลสุขภาพประชาชนให้มีสุขภาพดีขึ้น โดยจะให้การสนับสนุนการทำงานของ อสม.ด้วยการให้ค่าตอบแทนให้กับอสม.ทั่วประเทศ เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน เบื้องต้นเดือนละ 600 บาทต่อคน ให้ได้รับภายในเวลา 3 เดือน

“ผมจะหารือกับ รมว.คลัง และรมว.มหาดไทยในการนำงบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีงบประมาณจำนวน 1 พันล้านบาท ซึ่ง สธ.จะหางบประมาณเพิ่มเติม รวมเป็น 3 พันล้านบาทมาใช้ในการให้ค่าตอบแทนตรงนี้ โดย กระจายเงินสดผ่าน อปท.ให้กับ อสม.โดยตรง พร้อมทั้งจะดำเนินการออกกฎหมายหรือระเบียบต่างๆมารองรับให้มีการให้ค่าตอบแทนนี้ตลอดไป ไม่ว่าจะมีรัฐบาลชุดใดมาปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องให้ค่าตอบแทนนี้ เริ่มต้นแล้วก็ต้องทำต่อไป”
นายวิทยา กล่าว

นายวิทยา กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ไม่กลัวว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนโยบายประชานิยม เพราะไม่ได้นำเงินไปแจกให้กับคนที่ไม่ได้ทำอะไร หรือโยนเงินใส่กระเป๋าให้กับคนเดินตามถนนทั่วไป และเชื่อว่าไม่มีใครคัดค้าน เพราะส.ส.ทุกคนต่างรู้สภาพความเป็นจริงในพื้นที่ทั้งสิ้น และทุกฝ่ายเชื่อว่าเห็นใจ อสม.ที่ทำงานหนักมานานกว่า 30 ปี ยิ่งให้ค่าตอบแทนเป็นยิ่งขวัญกำลังใจให้ อสม.กระตุ้นให้ทำงานได้มากขึ้น ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องคัดเลือก อสม.ใหม่ เพราะเห็นว่าทุกคนทำงานอยู่แล้ว รวมทั้ง สธ.มีระบบในการการจำกัดปริมาณของ อสม.ไม่ให้เพิ่มมากขึ้นอยู่แล้ว

นายวิทยา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีนโยบายในเรื่องการดูแลรักษาพยาบาลประชาชนคนไทยที่มีเลข 13 หลักตั้งแต่เกิดจนถึงตายจะต้องได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน ไม่จำเป็นต้องรอให้มีบัตรหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ก่อนก็สามารถเข้าไปรักษาพยาบาลได้ เพียงการใช้เลข 13 หลักเข้าไปยังสถานพยาบาล โดยสามารถเชื่อมโยงข้อมูลผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากัน

“ส่วนภาวการณ์ตกงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจภายในปี 2552 นโยบายของรัฐบาลจะมี โครงการพิเศษในการฝึกบัณฑิตที่เพิ่งจบใหม่ภายใน 1 ปี มาฝึกอบรมให้เป็นบัณฑิตอาสาทำงานในชุมชนในชนบท โดยในส่วนของกระทรวง รวมถึง สธ.จะประสานงานกับกระทรวงแรงงานสำหรับผู้ประกันตนที่ตกงานมาฝึกอบรมในการเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กและคนชรา โดย สธ.จะฝึกอบรมมาตรฐานให้มีมาตรฐานมากกว่าแม่บ้านทั่วไปมาช่วยดูแลผู้ป่วย พร้อมทั้งคัดบุคคลที่มีจิตใจด้วยด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกันหากผู้ประกันตนตกงานและไม่ได้รับสิทธิการรักษาพยาบาล สธ.ก็จะเป็นผู้ดูแลประชาชนทุกคนทั่วประเทศต่ออยู่แล้ว” นายวิทยา กล่าว

นายวิทยา กล่าวว่า สำหรับนโยบายเรื่องการประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (ซีแอล) จะต้องปรึกษากระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศก่อน เพราะขณะนี้เป็นวิกฤตเศรษฐกิจต้องดำเนินการทำให้รอบครอบ มิฉะนั้นอาจจะกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งไทยทำอะไรต้องป้องกันตัวเองได้และต้องไม่ถูกผู้อื่นรังแก แต่ ยืนยันว่าจะเดินหน้านโยบายต่างๆ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนเรื่องมาตรการการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 คงต้องขอดูในรายละเอียดเช่นกันว่า ได้ดำเนินการถึงขั้นตอนไหนแล้ว แต่ในช่วงเทศกาลปีใหม่มีนโยบายเร่งด่วนที่จะตั้งจุดตรวจวัดความสุข ดูแลผู้ที่เดินทางตลอดเส้นทาง โดยการคอยเตือนจุดตรวจวัดความเร็ว

“สำหรับโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ของ สธ.คงต้องดูรายละเอียดอีกครั้งว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ หากเก็บภาษีในช่วงกลางปีหน้าไม่ได้ก็มีผลต่องบประมาณชาติ ซึ่งงบประมาณกลางปีที่จะขอเบิกก็ไม่แน่ใจว่าจะได้มากน้อยใดเพียงใด และโครงการเมกะโปรเจกต์ที่พูดๆกันก็ยังไม่มีเงินเลย” นายวิทยา กล่าว

ต่อข้อถามว่า คดีทุจริตต่างๆ ภายใน สธ.นั้นจะมีการนำมาปัดฝุ่นเพื่อสะสางให้เกิดความชัดเจนอีกหรือไม่ นายวิทยา กล่าวตอบว่า นโยบายรัฐบาลยึดหลักนิติธรรม ทุกคนเสมอภาคภายใต้กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นประชาชน เสนาบดี ก็ล้วนอยู่ภายใต้กฎหมายและได้รับความเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่าคนจนขับรถแล้วถูกจับ แต่คนรวยไม่ถูกจับอย่างนั้นไม่ถูกต้อง และการเข้ามาทำงานก็ไม่ได้เข้ามาแก้แค้นหรือรังแกใคร ขั้นตอนต่างๆ จึงต้องเป็นไปตามกฎหมาย

“ผมยืนยันว่าจะขอปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต สร้างความเป็นธรรมและความสมานฉันท์ในราชการ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในที่ประชุมว่าไม่ให้มีการทุจริตเพียงนิดเดียวก็ไม่ได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้เข้ามาทำงานท่ามกลางวิกฤตทุกอย่าง ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตการเมือง”นายวิทยา กล่าว


นายวิทยา แก้วภราดัย ขณะเข้ารับตำแหน่ง รมว.สธ.คนใหม่


กำลังโหลดความคิดเห็น