“อภิรักษ์” ประกาศทิ้งเก้าอี้ ผู้ว่าฯ กทม.โดยให้มีผลหลังพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ผ่านพ้นไปแล้ว ในวันที่ 19 พ.ย.2551
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน แถลงข่าวขอลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.
เมื่อเวลา 15.30 น.ที่ห้องอัมรินทร์ ศาลาว่าการกทมกรุงเทพมหานคร(กทม.) นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร กทม. ร่วมแถลงข่าวถึงท่าทีทางการเมืองหลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ชี้มูลความผิดอาญาในคดีรถ-เรือดับเพลิงมูลค่า 6,687 ล้านบาท ซึ่ง 1 ในนั้นมีนายอภิรักษ์ ร่วมอยู่ด้วยว่า ต้องขอความขอบคุณสื่อมวลชนที่มาร่วมแถลงข่าว ซึ่งต้องเรียนทุกท่านว่าการตัดสินใจในครั้งนี้มีความสำคัญแต่จะแตกต่างจากครั้งที่แล้วที่ตนได้ยุติบทบาททางการทำงานหลังจากที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) แจ้งข้อกล่าวหาซึ่งได้หยุดการปฎิบัติหน้าที่ไปดำเนินการเรื่องต่างให้เรียบร้อยช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ เรียนว่า คดีโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงแม้ว่าวันนี้จะผ่านเข้าสู่โครงการตรวจสอบของป.ป.ช. แล้วแต่จะขอเรียนให้ประชาชนได้รับทราบสั้นๆ อีกครั้งว่าเป็นโครงการที่เกิดขึ้นย้อนอย่างน้อยไป 2 ปี ก่อนที่ตนจะได้รับความไว้วางใจจนได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการระดับรัฐบาลในลักษณะที่เรียกว่า G 2 G โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการลงนามใน AOU ซึ่งดำเนินการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในนามของรัฐบาล กับรัฐบาลออสเตรียโดยเอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทย มีการลงนามซื้อขายระหว่างกรุงเทพมหานครและบริษัทสไตเออร์ฯ ก่อนที่ตนจะเข้ามาทำหน้าที่ผู้ว่าฯกทม.
ในสัญญา AOU ซึ่งเป็นสัญญาระดับรัฐบาลก็ได้มีเงื่อนไขที่บังคับให้มีการเปิด L/C ภายใน 30 วันหลังจากการลงนามในสัญญาซึ่งหลังจากที่ได้ลงนามในสัญญาในวันที่ 27 สิงหาคม 2547 ซึ่งย้อนไปกว่า 4 ปีที่แล้ว วันนี้ข่าวก็ยังเข้าใจว่าตนเข้ามาเป็นคนเปิด L/C เพื่อให้สัญญามีผลในทางกฎหมายและเกิดกระบวนการในเรื่องของการจ่ายเงิน ก็อยากเรียนให้ชัดเจนว่าหลังจากที่มีการลงนามในสัญญาแล้ว ก็มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในวันที่ 29 สิงหาคม อดีตผู้ว่าฯกทม.ในสมัยนั้นก็มีการไปเปิด L/C เมื่อวันที่ 31สิงหาคม ก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 6 กันยายน ซึ่งเป็นเรื่องอยากจะเรียนชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงให้กับพี่น้องประชาชนได้รับทราบเป็นประการที่ 1
ประการที่ 2 ก็คือว่า หลังเข้ารับตำแหน่งแล้วในวันที่ 6 กันยายนก็มีกระแสข่าวในเรื่องตรวจสอบโครงการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงซึ่งจริงๆก็เป็นเหมือนโครงการในระดับรัฐบาลแล้วก็มีการส่งออกไก่ต้มสุก โดยกระทรวงพาณิชย์ ในมูลค่าที่เท่ากันซึ่งการตรวจสอบของกทม.ที่ได้เกิดขึ้นย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้วภายใต้ข้อจำกัดเงื่อนไขเวลาในการที่จะต้องดำเนินการตามกระบวนการสัญญาให้แล่วเสร็จ เมื่อเทียบกับวันนี้มีข้อมูลหลายเรื่องที่อาจจะปรากฎซึ่งมีการตรวจสอบด้วยคตส.มากว่า 2 ปี หรือล่าสุดจากป.ป.ช. ก็อยากเรียนยืนยันให้กับพี่น้องประชาชนชาวกทม.ทุกท่านว่า สิ่งที่ได้ดำเนินการไปเมื่อ 4 ปีที่แล้วอยู่บนเงื่อนไขภายใต้ข้อจำกัดเวลาที่ตนเองได้ตรวจสอบโครงการเพื่อที่จะให้เกิดความโปร่งใสและมั่นใจหลังจากที่พรรคปชป.เป็นผู้ตรวจสอบโครงการนี้ และสิ่งที่ได้ดำเนินการไปคือได้ตรวจสอบในแต่ละเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจสอบไปที่กระทรวงพาณิชย์ในฐานะที่เป็นคู่สัญญาการส่งออกไก่ต้มสุก ตรวจสอบเรื่องของกระบวนการการจัดซื้อซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทางผู้บริหารในสมัยนั้น รวมทั้งทางบริษัทสไตเออร์ฯได้มีการชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
จนกระทั่งในที่สุดก็เป็นสิ่งที่ตนเชื่อหลายท่านเองอาจไม่ทราบด้วยซ้ำไปผลในทางกฎหมายของสัญญาที่เกิดขึ้นเป็นเจตนารมย์ที่ได้ดำเนินการโดยการลงนามในสัญญาที่มีความผูกพันทั้งในระดับ AOU และสัญญาซื้อขายระหว่างกทม.และสไตเออร์ฯ รวมทั้งการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยในส่วนของการเปิดL/C แต่ว่าสิ่งที่ได้ดำเนินการช่วงระยะเวลานั้นก็คือการทบทวนโครงการ การตรวจสอบข้อเท็จจริง วันนี้ก็อยากเรียนความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนทราบว่าสิ่งที่ได้ทำไปอยู่บนพื้นฐานของความตั้งใจที่จะรักษาประโยชน์ของกทม.และพี่น้องประชาชนโดยเจตนาบริสุทธิ์ โดยไม่ได้ดำเนินการในทางทุจริตแต่ประการใด ถ้าติดตามกทม.ได้มีการส่งหนังสือไปยังกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย บริษัทสไตเออร์ฯ แต่โดยข้อเท็จจริงก็คือว่า ณ วันนั้นข้อมูลที่ปรากฎก็ไม่ได้มีสิ่งบ่งชี้เหมือนวันนี้ที่ป.ป.ช.ได้ชี้มูล
จนในที่สุดก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ซึ่งก็ได้มีคนนอกเข้ามา ในขณะเดียวกันก็ได้รับการเร่งรัดจากรัฐบาล สถานทูตออสเตรียในเรื่องของสัญญาที่ลงนาม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในขณะเดียวกันก็ได้รับการเร่งรัดจากบริษัทสไตเออร์ฯ ในฐานะคู่สัญญาว่าจะได้รับความเสียหาย และก่อนที่จะตัดสินใจยืนยันเรื่อง L/C ที่อดีตผู้ว่าฯ กทม.ได้เปิดไว้แล้วเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม คณะกรรมการก็เป็นผู้เสนอว่าสัญญามีผลในทางการกฎหมายถ้าไม่ดำเนินการคู่สัญญาก็สามารถที่จะฟ้องร้องและเกิดความเสียหายแก่กทม.หนังสือทางราชการที่กระทรวงมหาดไทยยืนยันมา 4 ฉบับ ให้ดำเนินการเป็นหนังสือที่ชอบด้วยกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติตามซึ่งในที่สุดคณะกรรมการก็ได้เสนอเพื่อให้ดำเนินการเพื่อให้ยืนยัน L/C ที่ได้มีการเปิดไว้แล้วและได้มีผลผูกพันในฐานะที่สัญญามีผลในทางกฎหมายซึ่งนี่ คือข้อสรุปที่อยากชี้แจงข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง
นายอภิรักษ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องของการหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยแนวทางที่ได้กำหนดขึ้น ตนได้ดำเนินการโดยไม่ต้องมีการตีความตั้งแต่เมื่อวานที่คณะกรรมการป.ป.ช.ได้มีการชี้มูลแต่อยากเรียนยืนยันให้กับพี่น้องประชาชนที่ให้ความไว้วางใจเลือกตนกลับเข้ามาทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง กระบวนการการตรวจสอบก็ต้องดำเนินการต่อไปและการตรวจสอบจะไปจบสิ้นที่กระบวนการทั้งหมดในชั้นศาลซึ่งตนเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตนที่ได้ทำไปและเกิดขึ้นในสถานการณ์ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ในขณะเดียวกันการตัดสินใจต่อไปที่อยากจะเรียนให้ทราบจากความรู้สึกจริงๆว่า ในวันที่ติดสินใจที่จะได้กลับมาสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.อีกครั้งก็มรความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำไปและเชื่อมั่นว่าพาน้องประชาชนได้ให้ความไว้วางใจตลอดระยะเวลาการณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา และในที่สุดก็ได้รับความไว้วางใจให้ตนกลับเข้ามาทำงานเพื่อจะมานำนโยบายมาผลักดันกรุงเทพมหานครไปสู่เมืองแห่งอนาคตที่น่าอยู่
“สำหรับพี่น้องประชาชนทุกคน ก็ต้องเรียนขอโทษประชาชนทุกคนที่ให้ความไว้วางใจเพราะในที่สุดก็มาเกิดเหตุการณ์วันนี้ขึ้น แต่ตนอยากเรียนยืนยันให้พี่น้องประชาชนชาวไทย ชาวกทม.ทุกท่านได้มีความมั่นใจในตัวผมและพรรคประชาธิปัตย์ ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคการเมืองที่มีมาตรฐานในการทำงานทางการเมือง ตนเองในฐานะทีเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า 10 ปี และวันหนึ่งได้ตัดสินใจอาสามาลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ก็ยึดมั่นมาตรฐานบนการเมืองใหม่ที่ตนเชื่อมั่นเพราะเพื่อนผู้สื่อข่าวได้เรียกร้อง ได้ยึดมั่นในสิ่งที่ตนเชื่อมั่นว่าในวันนี้ ประชาชนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของการเมืองที่จะนำไปสู่การทำงานเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง และในขณะเดียวกันในการตัดสินใจในครั้งนี้ ก็จะเรียนว่าก็จะมีผลกระทบไม่ว่าจะเป็นในทางใดทางหนึ่งซึ่งตนเองก็ได้ใคร่ครวญไตร่ตรอง ได้ปรึกษากับครอบครัว ได้หารือกับทางหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคฯ และผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์หลายครั้ง ก็มีความเห็นที่แตกต่างหลายคน ผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านก็ให้คำแนะนำว่าในการตัดสินใจในการดำเนินการในครั้งนี้กฎหมายมีเจตนารมย์เพื่อให้ยุติบทบาทในการทำงานจนกว่าจะมีการตัดสินของศาลว่าถูกหรือผิด และนี่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถทำได้ และก็เป็นทางเลือกที่มีความชอบธรรม ทั้งในทางกฎหมายและในทางเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญซึ่งตนก็ได้ทำไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้”
นายอภิรักษ์ กล่าวอีกว่า ประการที่ 2 ก็คือเสียงเรียกร้องจากประชาชนก็ดีจากสื่อมวลชนก็ดีว่าอยากเห็นมาตรฐานการตัดสินใจของการเมืองไทยในวันนี้และในอนาคตที่มักจะมีการเปรียบเทียบกับนักการเมืองในต่างประเทศ แต่อยากเรียนว่าการตัดสินใจที่จะเกิดขึ้นอยากเรียนยืนยันว่าตนพร้อมที่จะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมและยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยว่าจะได้รับความเป็นธรรม แต่ว่าเพื่อให้เกิดผลกระทบและความรู้สึกของพี่น้องประชาชน เพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ก็ดี และรวมถึงเพื่อนข้าราชการ ลูกจ้างกทม.ทุกคนที่ได้ทำงานอย่างทุ่มเทร่วมกับตนมาตลอดระยะเวลากว่า 4 ปี ตนต้องขอขอบพระคุณเพื่อนข้าราชการ ลูกจ้างกทม.ทุกท่านที่ได้ให้การสนับสนุนการทำงานมาตลอดระยะเวลา 4 ปีและหลังจากที่ได้รับเลือกเข้ามาทำหน้าที่เป็นครั้งที่ 2 ขอบคุณเพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทุกท่านที่ได้สนับสนุนการทำงานและให้การสนับสนุนหาเสียงเลือกตั้ง ก็ต้องขอโทษอีกครั้งหนึ่งที่ได้ทำให้แต่ละท่านเกิดความรู้สึกหลังจากที่ป.ป.ช.ได้ชี้มูลเมื่อวาน
“อยากเรียนให้ทุกท่านทราบว่าตนเองตัดสินใจที่จะขอลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่เพื่อให้เกิดผลกระทบกับการทำงานของกทม.ให้น้อยที่สุดก็จะขอที่จะให้มีผลหลังวันงานพิธีสำคัญที่กทม.จะต้องดำเนินการจนกระทั่งถึงวันที่19 พฤศจิกายน ขอบคุณคณะผู้บริหารทุกคนที่มาร่วมงานในเวลาสั้นๆ แต่เชื่อมั่นว่าทุกคนมาด้วยความตั้งใจและหวังว่าเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมที่จะเป็นทางเลือกให้กับสังคมไทยในการที่จะบริหารประเทศไทย และตนเชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนทุกคนที่ให้ความเลื่อมใสในพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่มั่นใจในพรรคประชาธิปัตย์จะได้เห็นการตัดสินใจครั้งนี้เป็นอีกการตัดสินใจหนึ่งของนักการเมืองที่มีความเลื่อมใสในพรรคประชาธิปัตย์ตลอด 60 ปีที่พรรคยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะได้ต่อสู้ด้วยความสุจริต ท่านหัวหน้าพรรคฯได้ประกาศในวันงานระดมทุนของพรรคฯว่าจะยึดมั่นในการทำงานด้วยความซิ่อสัตย์สุจริต ตนเองพร้อมที่จะให้ตรวจสอบและต้องขอโทษสมาชิก และคณะผู้บริหารพรรคนอีกครั้งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น และหลังจากที่ผ่านกระบวนการการตรวจสอบแล้ววันนั้นตนจะกลับมาอีกครั้ง”นายอภิรักษ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่นายอภิรักษ์ ประกาศว่าจะลาออกนั้นได้มีเสียงปรบมือดังกึกก้องอยู่เป็นเวลานานจากผู้ที่ร่วมฟังการแถลงข่าว จากนั้นได้ออกมาหน้าห้องซึ่งได้มี ส.ก ข้าราชการ กทม ประชาชนมามอบดอกไม้ให้กำลังใจจำนวนมาก จากนั้นได้เดินลงไปที่ห้องเจ้าพระยา ซึ่งได้มีข้าราชการ ส.ก. และประชาชนมารอมอบดอกไม้ให้กำลังใจเช่นกันซึ่งบางคนถึงกับร้องไห้ในสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ นายอภิรักษ์ ได้กล่าวฝาก กทม.กับนายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัดกทม. และขอให้โชคดี ขณะที่นางวรรณวิไล พรหมลักขโณ รองปลัดกทม.ได้มอบดอกไม้ให้กำลังใจพร้อมกับกล่าวสั้นๆว่า “รีบกลับมานะ”
นายอภิรักษ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ตนได้เรียนกับท่านหัวหน้าพรรคฯ เลขาฯ ซึ่งก็ได้แนะนำให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ทุกคนเชื่อในความบริสุทธิ์ ให้ไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงในชั้นศาล แต่ว่าเรียนว่าวันนี้อยากให้สังคมได้เห็นซึ่งได้มีการเรียกร้องเรื่องนี้ ตนก็พร้อมที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อเหมือนกันเพราะวันที่ตนตัดสินใจมาเล่นการเมืองก็เชื่อว่าอยากทำการเมืองใหม่แต่ว่าบ้านเมืองก็เป็นแบบนี้แบบที่เห็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกผิดคาดหรือไม่ที่ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์อย่างนี้ นายอภิรักษ์ กล่าวว่า จนถึงวันนี้ก็ยังมีความมั่นใจในสิ่งที่ตนเองได้ทำไปและว่าจะได้รับความเป็นธรรมหลายเรื่องที่พูดในวันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้วข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฎแต่ว่าในการพิจารณาของป.ป.ช.ก็เคารพการตัดสินใจของท่าน แต่ยังอยากให้ประชาชนเข้าใจด้วยว่าในกระบวนการตรวจสอบก็ยังมีกระบวนการยุติธรรมซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ และจริงๆเป็นเจตนารมย์ของกฎหมายและรัฐธรรมนูญให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่แต่เพื่อให้เกิดความสบายใจและเพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในการเมืองผมก็อยากที่จะแสดงจุดยืนของตัวเองให้เห็น ส่วนวันที่ 19 พ.ย.นั้น จริง ๆไม่มีอะไรเลย เพียงแค่อยากที่จะให้การทำงานของเพื่อนข้าราชการ ลูกจ้าง ไม่ต้องมากังวลถ้าลาออกในวันนี้แล้วจะต้องเรียกประชุม จะต้องมีผลกระทบกับงานที่สำคัญที่สุดของคนไทย
ต่อข้อถามที่ว่า คิดอย่างไรกับมติของคตส.กับมติป.ป.ช. นายอภิรักษ์ กล่าวว่า คงต้องไปพิสูจน์ในชั้นศาล ตอนนี้ไม่มีความเห็นอะไรเพิ่มเติม ตนพร้อมที่จะได้รับการตรวจสอบในกระบวนการยุติธรรม
ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่า ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงใครหรือไม่ นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ไม่ได้ส่งสัญญาณถึงใครเลย เป็นสิ่งที่ตนตัดสินใจเอง ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อที่ได้ตัดสินใจมาทำงานทางการเมือง และคิดว่าทุกคนที่ได้ร่วมทำงานมาด้วยกัน และในวันนั้นที่ได้ตัดสินใจอย่างนั้นทุกคนก็ได้ทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ภายใต้ข้อมูลและสถานการณ์ในวันนั้นเพราะว่าถ้าตัดสินใจไปอีกทางหนึ่งที่ไม่ได้ดำเนินการต่อ ก็อาจจะเป็นปัญหาเหมือนกันในการฟ้องร้องหรือแม้แต่ตัวตนเองฐานะอาจละเว้นไม่ปฏิบัติตาม เพราะโครงการนี้ก็ได้ผ่านมติครม.เป็นโครงการของรัฐบาลและดำเนินการจนแล้วเสร็จแล้ว
ต่อข้อถามที่ว่า ที่กลับมาจะมาเล่นการเมืองระดับใหญ่หรือไม่ นายอภิรักษ์ กล่าวว่า วันนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ คิดว่าเอาเป็นเฉพาะแค่นี้ก่อน ถ้าได้ผ่านกระบวนการพิสูจน์แล้วก็จะทำให้ทุกคนมีความมั่นใจและตนก็อยากให้ผ่านกระบวนการพิสูจน์โดยเร็วด้วยเพราะเป็นเรื่องที่กระทบกับตัวเองและครอบครัว
ต่อข้อถามที่ว่า อยากฝากอะไรถึงผู้ว่าฯกทม.คนใหม่หรือไม่ คงไม่ฝาก เชื่อว่าเพื่อนข้าราชการทุกคนที่ได้ทำงานร่วมกันมา 4 ปีคงทราบดีว่าประชาชนชาวกรุงเทพมหานครอยากเห็นอะไร แล้วก็ในช่วงรณรงค์เลือกตั้งเดือนกว่าๆ ตนเชื่อว่ากทม.ก็ได้ตระหนักแล้วอย่างน้องแม้ว่าตนได้กลับมาทำงานช่วงเดือนกว่าๆแต่ก็ได้ทำเต็มที่ในสิ่งที่ได้เคยประกาศไว้ในช่วงเลือกตั้งเพียงแต่ว่าในช่วงที่มีการชี้มูลโดยป.ป.ช. ก็เคารพและปฏิบัติตามเจตนารมย์ของกฎหมายและทำมากกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้
ส่วนพรรคจะส่งใครลงสมัครผู้ว่าฯกทม.นั้น นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ผู้สมัครของพรรคฯก็จะได้คัดเลือกคนที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดในการเลือกตั้งในแต่ละครั้งและเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก
ด้านนายพิงค์ รุ่งสมัย ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร(ประธานกกต.กทม.) เปิดเผยว่า แม้นายอภิรักษ์ จะประกาศลาออกจากผู้ว่าฯ กทม. ไปแล้ว แต่ข้อร้องเรียนของนายอภิรักษ์ทั้งหมด 4 เรื่อง กกต.กทม. ก็จะพิจารณาต่อไปตามขั้นตอนต่างๆ ต่อไป โดยท้ายที่สุดหากตรวจพบว่า มีการกระทำความผิดจริงที่จะต้องถูกให้ใบแดง ที่จะมีผลให้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ การเลือกตั้งและต้องจ่ายชดเชยค่าจัดการเลือกตั้งใหม่จำนวน 154 ล้านบาทด้วย ทั้งนี้ จะส่งผลให้นายอภิรักษ์อาจจะต้องจ่ายค่าจัดการเลือกตั้ง หลังจากที่มีการลาออกครั้งนี้ด้วย ซึ่ง กกต.จะเป็นผู้พิจารณาในรายละเอียด