“ชูวิทย์” เอาอีกรอบเกทับ “อภิรักษ์” ได้เป็นผู้ว่าฯกทม.จะเนรมิตสวนสาธารณะให้เป็นแบบสวนชูวิทย์ มีร่มเงา และริมถนนจะไม่ตัดจนเหี้ยนเตียน พร้อมชูปลูกสวนกลางบ้านใช้ลดหย่อนภาษี ขณะที่แนะแก้การเมือง “สมัคร” อย่าคัมแบ็กเพราะขาดความชอบธรรม ส่วน “บรรหาร” ไม่อยู่กับร่องกับรอยไม่ควรเป็นนายกฯเหมือนกัน ขณะที่ “อภิสิทธิ์” ถ้าขึ้นปัญหาไม่จบแน่ เสนอตั้งสภาประชาชน 99 คนแก้ไขรัฐธรรมนูญ
วันนี้ (10 ก.ย.) ที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) หมายเลข 8 สังกัดอิสระ แถลงข่าวถึงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ว่า ตนจะพัฒนาสวนสาธารณะ เกาะกลางถนน ริมถนนทุกสายในพื้นที่ กทม.ให้มีต้นไม่ใหญ่ เพื่อให้ร่มเงา ความร่มรื่น เหมือนกับสวนชูวิทย์ ในซอยสุขุมวิท 10 เพื่อให้ กทม.เป็นพื้นที่สีเขียวอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สวนสีเขียวเลื่อนลอย อย่างสมัยที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 5 พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นผู้ว่าฯ กทม.ทำ ซึ่งที่ตนระบุเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นการโจมตี หรือใส่ร้ายป้ายสี นายอภิรักษ์ แต่มีหลักฐานที่เห็นได้ชัดเจน คือ บริเวณรอบวงเวียนอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่เดิมเคยมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาโดยรอบบริเวณ แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบ นายอภิรักษ์ ก็ได้มอบนโยบายให้ทำโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบ เอาต้นไม้ใหญ่ออก เหลือไว้เพียงแต่ไม้ประดับ พุ่มเตี้ย ต้นละ 5-10 บาท มาปลูก ซึ่งก็ไม่ได้ให้ความร่มรื่นอย่างเดิม ส่วนในการปรับปรุง และตัดแต่งต้นไม้ที่อยู่ข้างถนน หรือเกาะกลางถนนก็จะทำให้เป็นรูปแบบที่สวยงามไม่ใช่ตัดจนเหี้ยนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ทั้งนี้ ตนจะมีโครงการให้ประชาชนปลูกสวนไว้กลางบ้าน โดยบ้านไหนที่ปลูกจะได้รับการลดภาษีโรงเรือนให้
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ในแต่ละวันตนจะแถลงข่าวเพื่อชี้ให้ประชาชนได้เห็นถึงโครงการต่างๆ ของกรุงเทพฯ ตามนโยบายของ นายอภิรักษ์ ซึ่งเป็นอดีตผู้ว่าฯกทม. ที่ประกาศไปแล้วทำไม่สำเร็จมีเพียงแค่การโฆษณาที่สวยหรู ซึ่งในวันที่ 11 ก.ย.นี้ ตนจะแถลงเรื่องเส้นทางจักรยาน
นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังให้ความเห็นถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยขาดคุณสมบัติกรณีจัดรายการชิมไปบ่นไป และยกโขยงหกโมงเช้า ว่า โดยส่วนตัวเห็นว่า นายสมัคร กลับมาไม่ได้เด็ดขาด เพราะศาลตัดสินชัดเจนแล้วว่านายสมัครมีความผิด มีการดัดแปลงเอกสาร ดังนั้นจึงไม่ชอบธรรมที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ส่วนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ก็คงจะไม่ยอมจบ และมีข้ออ้างที่จะชุมนุมต่อไป ซึ่งจะยิ่งทำให้บ้านเมืองบอบช้ำไปมากกว่าเดิม
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ส่วนแนวทางที่จะให้นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย มาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ที่ปากนายบรรหารบอกไม่กิน แต่มือหยิบตะเกียบแล้ว ต้องระมัดระวัง คนบางคนเป็นนักการเมืองอาวุโส แต่พูดไม่อยู่กับร่องกับรอย ขณะที่ตัวเลือกอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หากจะขึ้นมาก็ปัญหาก็ไม่จบอีกเช่นกัน เพราะเป็นเรื่องที่รู้กันดีว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้พรรคการเมืองในบ้านเราเป็นตัวที่ทำให้สังคมเกิดการแตกแยก มีการแบ่งเป็นพรรคภาคใต้ พรรคภาคเหนือ พรรคภาคอีสาน ทั้งที่จากเดิมพรรคการเมืองไม่ได้มีการแบ่งแยกตัวตนชนชั้น หรือหากจะเอาคนนอกมาก็ไม่ได้อีก หากเป็นคนที่ไม่ได้รับการยอมรับ
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ มีทางเดียวที่จะหยุดกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ก็ต่อเมื่อการเมืองเปลี่ยนรูปแบบ คือ เริ่มจากการยุบสภา ล้างไพ่ใหม่ให้หมด ต้องไปคุยกับพันธมิตรฯ ให้ออกจากทำเนียบรัฐบาล จากนั้นควรตั้งสภาประชาชน 99 คน ซึ่งมาจากกลุ่มวิชาชีพต่างๆ มาพิจารณารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่อาจมีบางข้อที่ต้องแก้ไขบ้าง คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน หลังจากนั้นปลายปีก็จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แบบนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคพลังประชาชนเตรียมให้คนในพรรครักษาการนายกฯ นายชูวิทย์ กล่าวด้วยว่า ระหว่างนี้จะให้ใครมารักษาการณ์แทนก็ไม่เป็นไร ในเมื่อนายสมัคร ไม่สามารถอยู่ได้ ตนเห็นอาการนายสมัคร ออกตั้งแต่ไปให้การแล้ว และคงถึงเวลาไปจัดรายการ ชิมไป บ่นไป อีกครั้ง เพราะสุดทางการเมืองแล้ว มีประวัติด่างพร้อยไปแล้ว
“คุณสมัครกลับมาไม่ได้ ถ้ากลับมาไฟไหม้ไปถึงชั้น 2 แน่ ตอนนี้ไหม้ที่ชั้น 1 แล้ว ซึ่งบ้านมี 2 ชั้น ส่วนคุณบรรหารขอให้อยู่เป็นหัวหน้าพรรคจนอายุ 96 ปี ทั้งนี้ผมอยากถามว่านักการเมืองเชื่อได้หรือ ผมเคยพิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว เมื่อก่อนบอกไม่ร่วมรัฐบาล แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร” นายชูวิทย์ กล่าว