องค์กรผู้บริโภคค้านรัฐบาลลดอัตราภาษีน้ำมัน เลิกอิงราคาสิงคโปร์ ชี้ ลดภาษีช่วยบริษัทน้ำมันได้กำไรมากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยประชาชน พร้อมเสนอซื้อคืน ปตท.
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า องค์กรผู้บริโภคเสนอให้บริษัทน้ำมันใช้ต้นทุนราคาน้ำมันจริงๆ ในการขายน้ำมัน แทนราคาต้นทุนจากประเทศสิงคโปร์ พร้อมคัดค้านรัฐบาลในการลดอัตราภาษีน้ำมัน และเสนอให้ซื้อหุ้นปตท.คืนจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถลดราคาน้ำมันได้ทันที 5 บาท และรับประกันไม่ขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติอีก 10 ปี
น.ส.สารี กล่าวต่อว่า การลดภาษีสรรพสามิตของรัฐบาลเป็นการช่วยบริษัทน้ำมันที่มีกำไรอยู่แล้วให้กำไรมากยิ่งขึ้น แทนที่จะคิดราคาน้ำมันให้เป็นธรรมกับผู้บริโภค การคิดราคาน้ำมันต้องใช้ราคาต้นทุนที่แท้จริงของน้ำมัน ไม่ใช่ราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทน้ำมันใช้น้ำมันจากประเทศแถบตะวันออกกลาง และน้ำมันจากในประเทศถึงร้อยละ 21
“นโยบายลดภาษีสรรพสามิต จึงเป็นเพียงนโยบาย ที่ช่วยสร้างความร่ำรวยให้บริษัทน้ำมันเพิ่มขึ้น และประเทศต้องสูญเสียงบประมาณ 25,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่มีความจำเป็น เนื่องจากปัจจุบันประเทศใช้น้ำมันประมาณ 20,000 ล้านลิตรต่อปี ในขณะที่ทุกคนกำลังเดือดร้อนอย่างหนักจากผลกระทบของราคาน้ำมัน ทั้งผู้บริโภคและภาคการผลิต แต่บริษัทน้ำมันที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศ สามารถทำกำไรได้อย่างมากมายมหาศาลระดับแสนล้าน ใช้เงินทำการตลาด การโฆษณา สร้างภาพองค์กร” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว
น.ส.สารี กล่าวด้วยว่า แม้รัฐจะยังชะลอการขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม ซึ่งโดยข้อเท็จจริง รัฐไม่จำเป็นต้องขึ้นราคาก๊าซ LPG ที่ใช้ในประเทศได้ถึง 10 ปี และในปัจจุบันราคาก๊าซ LPG ที่กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นยังเป็นราคาที่ไม่กำไรและไม่ได้อุดหนุนก๊าซ LPG แต่ประการใด
น.ส.สารี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันรัฐโดยกระทรวงการคลังเป็นเจ้าของหุ้น ปตท.51.8% ซึ่งมีจำนวนหุ้นประมาณ 1,460 ล้านหุ้น หุ้นที่เหลือของนิติบุคคลอื่นประมาณ 847 ล้านหุ้นๆ ละ 250 บาท ณ วันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ดังนั้นจะต้องใช้เงินประมาณ 211,750 ล้านบาท แต่รัฐก็ควรจะลงทุน เพราะ ปตท.มีกำไรสุทธิประมาณ 100,000 ล้านบาท ลงทุนเพียง 2 ปีกว่าๆ ก็คืนทุน ปีที่ 3 สามารถนำกำไรทำโครงการหลักประกันสุขภาพหรือสร้างรถไฟฟ้าได้สบาย
“องค์กรผู้บริโภค เสนอให้ประชาชนผู้บริโภค ร่วมมือกันซื้อหุ้นปตท.คืน โดยจ่ายเงินคนละไม่ถึง 3,370 บาท หากคิดจากจำนวนประชากร 63 ล้านคน หรืออาจจ่ายมากน้อยตามสัดส่วนการเสียภาษี ผู้ที่ขับรถยนต์ หรือ ยืมเงินจากกองทุนต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ก็สามารถนำ ปตท.กลับมาเป็นของทุกคน ลดค่าน้ำมันได้ทันทีลิตรละ 5 บาท รัฐได้ภาษีสรรพสามิตทุกบาททุกสตางค์ไม่เหมือนกับการลดภาษีน้ำมันของนายกสมัคร สุนทรเวช รวมทั้งรับประกันไม่ขึ้นราคาก๊าซอีกอย่างน้อย 10 ปี”น.ส.สารี กล่าว
ทั้งนี้ หากเราเป็นเจ้าของ ปตท.1.ดำเนินการให้ ปตท.ลดราคาน้ำมันจำนวน 5 บาท ต่อลิตรในน้ำมันทุกประเภท และหยุดใช้ราคาสิงคโปร์เป็นตัวกำหนดราคาน้ำมัน และหันมาใช้โครงสร้างราคาน้ำมันที่แท้จริงในการคิดราคาจำหน่ายในประเทศ 2.หยุดส่งออกก๊าซธรรมชาติ และหยุดขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติทุกประเภทไม่น้อยกว่า 10 ปี ตามสัญญาสัมปทานก๊าซธรรมชาติ 3.ขายก๊าซธรรมชาติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในราคาที่เป็นธรรมเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับผู้บริโภค 4.สนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงาน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติที่ยั่งยืน เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในอนาคต5. กระทรวงการคลังต้องเร่งตรวจสอบการคืนทรัพย์สินของ ปตท.ให้ครบถ้วน ในเบื้องต้นที่ยังไม่สามารถซื้อปตท.คืนได้
แล้วผู้บริโภคจะทำอะไรได้บ้าง 1.มีส่วนร่วมและสนับสนุนการเงินในการดำเนินการซื้อ ปตท. คืนจากตลาดหลักทรัพย์ 2.พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการคมนาคม ขนส่ง เช่น หยุดการใช้รถยนต์ส่วนตัวทุกครั้งที่สามารถทำได้ เบื้องต้นอาจเริ่มจากการขับรถวันเว้นวัน หากทำได้ 3.ผู้บริโภค ต้องติดตามข้อเท็จจริงที่รอบด้าน เช่น การเพิ่มจำนวนปั๊มก๊าซ NGV ไม่สามารถทำได้หากไม่มีการวางท่อส่งก๊าซในบริเวณนั้นๆ รัฐไม่ได้อุดหนุนกิจการก๊าซ LPG และก๊าซธรรมชาติ ทั้ง LPG และ NGV ต่างเป็นพลังงานสะอาด
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า องค์กรผู้บริโภคเสนอให้บริษัทน้ำมันใช้ต้นทุนราคาน้ำมันจริงๆ ในการขายน้ำมัน แทนราคาต้นทุนจากประเทศสิงคโปร์ พร้อมคัดค้านรัฐบาลในการลดอัตราภาษีน้ำมัน และเสนอให้ซื้อหุ้นปตท.คืนจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสามารถลดราคาน้ำมันได้ทันที 5 บาท และรับประกันไม่ขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติอีก 10 ปี
น.ส.สารี กล่าวต่อว่า การลดภาษีสรรพสามิตของรัฐบาลเป็นการช่วยบริษัทน้ำมันที่มีกำไรอยู่แล้วให้กำไรมากยิ่งขึ้น แทนที่จะคิดราคาน้ำมันให้เป็นธรรมกับผู้บริโภค การคิดราคาน้ำมันต้องใช้ราคาต้นทุนที่แท้จริงของน้ำมัน ไม่ใช่ราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทน้ำมันใช้น้ำมันจากประเทศแถบตะวันออกกลาง และน้ำมันจากในประเทศถึงร้อยละ 21
“นโยบายลดภาษีสรรพสามิต จึงเป็นเพียงนโยบาย ที่ช่วยสร้างความร่ำรวยให้บริษัทน้ำมันเพิ่มขึ้น และประเทศต้องสูญเสียงบประมาณ 25,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่มีความจำเป็น เนื่องจากปัจจุบันประเทศใช้น้ำมันประมาณ 20,000 ล้านลิตรต่อปี ในขณะที่ทุกคนกำลังเดือดร้อนอย่างหนักจากผลกระทบของราคาน้ำมัน ทั้งผู้บริโภคและภาคการผลิต แต่บริษัทน้ำมันที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศ สามารถทำกำไรได้อย่างมากมายมหาศาลระดับแสนล้าน ใช้เงินทำการตลาด การโฆษณา สร้างภาพองค์กร” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว
น.ส.สารี กล่าวด้วยว่า แม้รัฐจะยังชะลอการขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม ซึ่งโดยข้อเท็จจริง รัฐไม่จำเป็นต้องขึ้นราคาก๊าซ LPG ที่ใช้ในประเทศได้ถึง 10 ปี และในปัจจุบันราคาก๊าซ LPG ที่กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นยังเป็นราคาที่ไม่กำไรและไม่ได้อุดหนุนก๊าซ LPG แต่ประการใด
น.ส.สารี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันรัฐโดยกระทรวงการคลังเป็นเจ้าของหุ้น ปตท.51.8% ซึ่งมีจำนวนหุ้นประมาณ 1,460 ล้านหุ้น หุ้นที่เหลือของนิติบุคคลอื่นประมาณ 847 ล้านหุ้นๆ ละ 250 บาท ณ วันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ดังนั้นจะต้องใช้เงินประมาณ 211,750 ล้านบาท แต่รัฐก็ควรจะลงทุน เพราะ ปตท.มีกำไรสุทธิประมาณ 100,000 ล้านบาท ลงทุนเพียง 2 ปีกว่าๆ ก็คืนทุน ปีที่ 3 สามารถนำกำไรทำโครงการหลักประกันสุขภาพหรือสร้างรถไฟฟ้าได้สบาย
“องค์กรผู้บริโภค เสนอให้ประชาชนผู้บริโภค ร่วมมือกันซื้อหุ้นปตท.คืน โดยจ่ายเงินคนละไม่ถึง 3,370 บาท หากคิดจากจำนวนประชากร 63 ล้านคน หรืออาจจ่ายมากน้อยตามสัดส่วนการเสียภาษี ผู้ที่ขับรถยนต์ หรือ ยืมเงินจากกองทุนต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ก็สามารถนำ ปตท.กลับมาเป็นของทุกคน ลดค่าน้ำมันได้ทันทีลิตรละ 5 บาท รัฐได้ภาษีสรรพสามิตทุกบาททุกสตางค์ไม่เหมือนกับการลดภาษีน้ำมันของนายกสมัคร สุนทรเวช รวมทั้งรับประกันไม่ขึ้นราคาก๊าซอีกอย่างน้อย 10 ปี”น.ส.สารี กล่าว
ทั้งนี้ หากเราเป็นเจ้าของ ปตท.1.ดำเนินการให้ ปตท.ลดราคาน้ำมันจำนวน 5 บาท ต่อลิตรในน้ำมันทุกประเภท และหยุดใช้ราคาสิงคโปร์เป็นตัวกำหนดราคาน้ำมัน และหันมาใช้โครงสร้างราคาน้ำมันที่แท้จริงในการคิดราคาจำหน่ายในประเทศ 2.หยุดส่งออกก๊าซธรรมชาติ และหยุดขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติทุกประเภทไม่น้อยกว่า 10 ปี ตามสัญญาสัมปทานก๊าซธรรมชาติ 3.ขายก๊าซธรรมชาติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในราคาที่เป็นธรรมเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับผู้บริโภค 4.สนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงาน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติที่ยั่งยืน เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในอนาคต5. กระทรวงการคลังต้องเร่งตรวจสอบการคืนทรัพย์สินของ ปตท.ให้ครบถ้วน ในเบื้องต้นที่ยังไม่สามารถซื้อปตท.คืนได้
แล้วผู้บริโภคจะทำอะไรได้บ้าง 1.มีส่วนร่วมและสนับสนุนการเงินในการดำเนินการซื้อ ปตท. คืนจากตลาดหลักทรัพย์ 2.พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการคมนาคม ขนส่ง เช่น หยุดการใช้รถยนต์ส่วนตัวทุกครั้งที่สามารถทำได้ เบื้องต้นอาจเริ่มจากการขับรถวันเว้นวัน หากทำได้ 3.ผู้บริโภค ต้องติดตามข้อเท็จจริงที่รอบด้าน เช่น การเพิ่มจำนวนปั๊มก๊าซ NGV ไม่สามารถทำได้หากไม่มีการวางท่อส่งก๊าซในบริเวณนั้นๆ รัฐไม่ได้อุดหนุนกิจการก๊าซ LPG และก๊าซธรรมชาติ ทั้ง LPG และ NGV ต่างเป็นพลังงานสะอาด