แฉ“หมอวิทิต”ตกที่นั่งลำบาก เหตุถูกบีบให้ออก เจาะยางทำให้ อภ.อ่อนแอหวังผลทางธุรกิจ ด้าน “หมอวิชัย” ตอกบอร์ด อภ.ใหม่น่าตลก ไม่มีใครจัดเจนเรื่องเภสัชสักคนเดียว ผิด พ.ร.บ.อภ.เต็มๆ พร้อมแบกข้อมูลตอบข้อคำถามศาลปกครองกลาง เชียร์ผู้ป่วยฟ้อง “ไชยา” ต่อ ป.ป.ช.เข้าข่ายทำให้เกิดความเสียหายแล้ว ด้านเลขาฯ คนสนิท ชี้แค่ทำให้ระคายเคืองแต่ไม่บาดเจ็บ จับตาประชุมใหญ่คณะกรรมการร่วมฯ เข้าถึงยา นัดถก 24 มิ.ย.นี้
แหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่จะมีการปลดคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม(อภ.) มีผู้บริหารระดับสูงของ สธ.บางคนได้มีความพยายามกดดันให้ นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการอภ.ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้จำนวนกรรมการบอร์ดอภ.จำนวนไม่ครบจนไม่สามารถบริหารงานได้ และเป็นเหตุให้ปลดบอร์ดชุดเก่าทั้งหมดเพื่อแต่งตั้งใหม่ แต่เนื่องจาก นพ.วิทิตมีสัญญาในการดำเนินงาน หากลาออกก่อนจะต้องจ่ายเงินชดเชยให้ อภ.เป็นเงินกว่า 1.7 ล้านบาท
“นพ.วิทิตไม่ยอม จึงมีข้อเสนอว่า ให้ลาออก และจะเสนอให้กลับเข้ามาเป็นผู้อำนวยการ อภ.ใหม่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว นพ.วิทิตก็ไม่ยอม จนขณะนี้ อภ.มีบอร์ดชุดใหม่แล้ว แต่ นพ.วิทิตก็ยังถูกหมายหัวที่จะต้องออกจากตำแหน่ง ตาม นพ.วิชัยไป เนื่องจากมีคนบางกลุ่มพยายามเจาะยาง อภ.ให้อ่อนแอ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจ”แหล่งข่าวรายเดิม กล่าว
แหล่งข่าวฯ กล่าวด้วยว่า เหตุที่บางคนบางกลุ่มต้องการให้อภ.อ่อนแอเนื่องจาก ผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจที่ภายหลังอภ.ได้ปรับปรุงเป้าหมายทางธุรกิจนอกจากสโลแกน “อภ. ผลิตยาคุณภาพ” เป็น “จีพีโอ เฮลท์แคร์” ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพทั้งหมด โดยเฉพาะยาลดไขมันของบริษัทยาแห่งหนึ่งที่มีราคาประมาณ 60-70 บาท ซึ่งอภ.เตรียมจะวางจำหน่ายในราคา ไม่เกิน 10 บาท หากวางจำหน่ายอภ.จะมีส่วนแบ่งทางการตลาด50% สร้างรายได้ให้กับอภ.ปีละ 400-500 ล้านบาท และบริษัทยาที่มียาใกล้เคียงกันจะได้รับผลกระทบดังกล่าว จึงพยายามให้อภ.อ่อนแอมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขณะที่ นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กล่าวว่า บอร์ดอภ.ชุดใหม่ที่นายไชยาตั้งขึ้นมานั้นถือว่าใช้ดุลยพินิจที่ไม่สุจริต และผิดต่อพ.ร.บ.องค์การเภสัชกรรมที่ระบุไว้ชัดเจนว่า กรรมการบอร์ดอภ.จะต้องมีความจัดเจนในด้านต่างๆ อาทิ เภสัชศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ แต่เป็นเรื่องน่าสังเกตว่า บอร์ดอภ.ชุดใหม่นี้กลับไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านเภสัชศาสตร์แม้แต่คนเดียว ทั้งที่อภ.เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการผลิตยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นอย่างมากที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ดังกล่าว
“ไม่เพียงเท่านี้ นายไชยายังพูดอีกว่า กรรมการบอร์ดอภ.บางท่าน ทางพรรคพลังประชาชนฝากมา ถือว่าเป็นการเอาพรรคเอาพวกเข้ามาทำงาน โดยมิได้คำนึงถึงคุณสมบัติในการทำงาน ถือว่าเป็นเรื่องตลกที่สุด ทั้งนี้ได้เตรียมพร้อมที่จะตอบข้อซักถามของศาลปกครองกลาง ที่นัดไต่สวนฉุกเฉินในวันที่ 18 มิ.ย. เวลา 10.00 น. ให้คุ้มครองชั่วคราวจากกรณีที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข เสนอคณะรัฐมนตรีให้ปลดคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม(อภ.) ทั้งนี้หากนายไชยาไม่เดินทางไปก็ถือว่าเสียโอกาสที่จะได้ให้ข้อมูลกับศาล” นพ.วิชัย กล่าว
นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เห็นด้วยกับภาคประชาชนทั้งเครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายผู้ป่วย นักวิชาการ นักกฎหมายหารือว่าจะไปฟ้องร้องนายไชยาต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)หรือไม่ ในกรณีที่ประกาศทบทวนการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร(ซีแอล)ในช่วงก่อนเข้ารับตำแหน่งทำให้เกิดความเสียหาย เพราะขณะนึ้ความเสียหายได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยแล้ว
“ตัวอย่างเช่น ยาสลายลิ่มเลือดหัวใจและสมอง โคลพิโดเกรล ที่ขณะนี้ยังไม่มีนำเข้ายาที่ทำซีแอลมีราคาประมาณ 2 บาท จากที่ขายในท้องตลาดราคา 70 บาท ทำให้โรงพยาบาลต่างๆร้อยทั้งร้อยที่ได้รับงบประมาณแบบเหมาะจ่ายจะไม่ใช่ยาราคาแพงในการรักษาผู้ป่วยแต่ใช้ยาชนิดอื่นแทน อาทิ ยาแอสไพริน แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจะทำให้หลอดเลือดสมองแตก ซึ่งผลกระทบอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดโรคแทรกซ้อน หรือเป็นอัมพาตได้ ดังนั้น จึงถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วนำไปฟ้องร้องได้”นพ.วิชัย กล่าว
ด้าน นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ได้มอบหมายให้นิติกรของสธ.เป็นตัวแทนในการไปให้ข้อมูลกับศาลปกครองกลางในวันที่ 18 มิ.ย.เวลา 10.00น. ทั้งนี้จะชี้แจงเป็นเอกสารต่างๆ ไม่จำเป็นต้องไปด้วยตนเอง เพราะมีงานที่ค้างอยู่จะต้องทำ
นายสุพจน์ ฤชุพันธุ์ เลขานุการรมว.สธ. กล่าวว่า การฟ้องครั้งศาลปกครองกลางถือว่าไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เพราะตามพ.ร.บ.องค์การเภสัชกรรม พ.ศ.2549 ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะปลดบอร์ดอภ.แล้วตั้งขึ้นใหม่ได้โดยมีเหตุผลหรือไม่ก็ได้ เมื่อนายไชยาเห็นว่า บอร์ดไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากมีกรรมการบอร์ดลาออกหลายคนก็จะต้องมีการแต่งตั้งใหม่ เพื่อเข้าไปทำงาน
นายไชยามอบหมายให้อัยการศาลปกครองกลางเป็นผู้ทำหน้าที่ โดยเตรียมเอกสารหนังสือจากนายเกริกไกร จีระแพทย์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ เสนอให้มีการทบทวนซีแอล รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับซีแอลทั้งหมด โดยมั่นใจว่าเพียงพอในการใช้เป็นเอกสารหลักฐานยื่นต่อศาลปกครองกลาง
“ปัญหาเรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎหมาย ซึ่งระบุชัดอยู่แล้วว่าการที่รัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 182 หรือไม่ เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด ตามมาตรา 91 และ 92 ของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ป.ป.ช. อีกทั้งไม่มีผลย้อนหลังถึงการทำงานก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยอีกด้วย ดังนั้นรับรองว่าการทำงานของนายไชยาถือว่าชอบธรรมตามกฎหมาย นอกจากนี้กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่า ภรรยารัฐมนตรีจะต้องแจ้งหากถือหุ้นเกิน 5% ด้วย ทั้งนี้นายไชยาคงไม่ฟ้องกลับหมอวิชัยอยู่แล้ว จะฟ้องก็ฟ้องไป พวกนี้ถือเป็นเรื่องไร้สาระ หากฟ้องมาก็แก้ต่างไปเท่านั้น แค่ทำให้ระคายเคืองแต่ไม่บาดเจ็บ” นายสุพจน์ กล่าว
นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดสธ.ในฐานะมิสเตอร์ซีแอล เลขานุการคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาการเข้าถึงยาระบบยาที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน กล่าวว่า ได้มีการเลื่อนการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ การเข้าถึงยา จากวันที่ 18 มิ.ย.ป็นวันที่ 24 มิ.ย.เวลา 14.00 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยถือว่าเป็นการประชุมใหญ่ครั้งแรก ซึ่งการเลื่อนการประชุมครั้งนี้ไม่ได้มีเหตุผลหรือปัญหาใดๆ เพียงเวลา ความพร้อมไม่ตรงกันเท่านั้น ดังนั้น การประชุมครั้งนี้ จึงมีผู้บริหารระดับสูงตอบรับเข้าร่วมประชุมครบทั้งหมด ส่วนเนื้อหาการประชุมนั้นขอไม่เปิดเผยรายละเอียด
แหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่จะมีการปลดคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม(อภ.) มีผู้บริหารระดับสูงของ สธ.บางคนได้มีความพยายามกดดันให้ นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการอภ.ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้จำนวนกรรมการบอร์ดอภ.จำนวนไม่ครบจนไม่สามารถบริหารงานได้ และเป็นเหตุให้ปลดบอร์ดชุดเก่าทั้งหมดเพื่อแต่งตั้งใหม่ แต่เนื่องจาก นพ.วิทิตมีสัญญาในการดำเนินงาน หากลาออกก่อนจะต้องจ่ายเงินชดเชยให้ อภ.เป็นเงินกว่า 1.7 ล้านบาท
“นพ.วิทิตไม่ยอม จึงมีข้อเสนอว่า ให้ลาออก และจะเสนอให้กลับเข้ามาเป็นผู้อำนวยการ อภ.ใหม่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว นพ.วิทิตก็ไม่ยอม จนขณะนี้ อภ.มีบอร์ดชุดใหม่แล้ว แต่ นพ.วิทิตก็ยังถูกหมายหัวที่จะต้องออกจากตำแหน่ง ตาม นพ.วิชัยไป เนื่องจากมีคนบางกลุ่มพยายามเจาะยาง อภ.ให้อ่อนแอ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจ”แหล่งข่าวรายเดิม กล่าว
แหล่งข่าวฯ กล่าวด้วยว่า เหตุที่บางคนบางกลุ่มต้องการให้อภ.อ่อนแอเนื่องจาก ผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจที่ภายหลังอภ.ได้ปรับปรุงเป้าหมายทางธุรกิจนอกจากสโลแกน “อภ. ผลิตยาคุณภาพ” เป็น “จีพีโอ เฮลท์แคร์” ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพทั้งหมด โดยเฉพาะยาลดไขมันของบริษัทยาแห่งหนึ่งที่มีราคาประมาณ 60-70 บาท ซึ่งอภ.เตรียมจะวางจำหน่ายในราคา ไม่เกิน 10 บาท หากวางจำหน่ายอภ.จะมีส่วนแบ่งทางการตลาด50% สร้างรายได้ให้กับอภ.ปีละ 400-500 ล้านบาท และบริษัทยาที่มียาใกล้เคียงกันจะได้รับผลกระทบดังกล่าว จึงพยายามให้อภ.อ่อนแอมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขณะที่ นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กล่าวว่า บอร์ดอภ.ชุดใหม่ที่นายไชยาตั้งขึ้นมานั้นถือว่าใช้ดุลยพินิจที่ไม่สุจริต และผิดต่อพ.ร.บ.องค์การเภสัชกรรมที่ระบุไว้ชัดเจนว่า กรรมการบอร์ดอภ.จะต้องมีความจัดเจนในด้านต่างๆ อาทิ เภสัชศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ แต่เป็นเรื่องน่าสังเกตว่า บอร์ดอภ.ชุดใหม่นี้กลับไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านเภสัชศาสตร์แม้แต่คนเดียว ทั้งที่อภ.เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการผลิตยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นอย่างมากที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ดังกล่าว
“ไม่เพียงเท่านี้ นายไชยายังพูดอีกว่า กรรมการบอร์ดอภ.บางท่าน ทางพรรคพลังประชาชนฝากมา ถือว่าเป็นการเอาพรรคเอาพวกเข้ามาทำงาน โดยมิได้คำนึงถึงคุณสมบัติในการทำงาน ถือว่าเป็นเรื่องตลกที่สุด ทั้งนี้ได้เตรียมพร้อมที่จะตอบข้อซักถามของศาลปกครองกลาง ที่นัดไต่สวนฉุกเฉินในวันที่ 18 มิ.ย. เวลา 10.00 น. ให้คุ้มครองชั่วคราวจากกรณีที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข เสนอคณะรัฐมนตรีให้ปลดคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม(อภ.) ทั้งนี้หากนายไชยาไม่เดินทางไปก็ถือว่าเสียโอกาสที่จะได้ให้ข้อมูลกับศาล” นพ.วิชัย กล่าว
นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เห็นด้วยกับภาคประชาชนทั้งเครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายผู้ป่วย นักวิชาการ นักกฎหมายหารือว่าจะไปฟ้องร้องนายไชยาต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)หรือไม่ ในกรณีที่ประกาศทบทวนการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร(ซีแอล)ในช่วงก่อนเข้ารับตำแหน่งทำให้เกิดความเสียหาย เพราะขณะนึ้ความเสียหายได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยแล้ว
“ตัวอย่างเช่น ยาสลายลิ่มเลือดหัวใจและสมอง โคลพิโดเกรล ที่ขณะนี้ยังไม่มีนำเข้ายาที่ทำซีแอลมีราคาประมาณ 2 บาท จากที่ขายในท้องตลาดราคา 70 บาท ทำให้โรงพยาบาลต่างๆร้อยทั้งร้อยที่ได้รับงบประมาณแบบเหมาะจ่ายจะไม่ใช่ยาราคาแพงในการรักษาผู้ป่วยแต่ใช้ยาชนิดอื่นแทน อาทิ ยาแอสไพริน แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจะทำให้หลอดเลือดสมองแตก ซึ่งผลกระทบอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดโรคแทรกซ้อน หรือเป็นอัมพาตได้ ดังนั้น จึงถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วนำไปฟ้องร้องได้”นพ.วิชัย กล่าว
ด้าน นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ได้มอบหมายให้นิติกรของสธ.เป็นตัวแทนในการไปให้ข้อมูลกับศาลปกครองกลางในวันที่ 18 มิ.ย.เวลา 10.00น. ทั้งนี้จะชี้แจงเป็นเอกสารต่างๆ ไม่จำเป็นต้องไปด้วยตนเอง เพราะมีงานที่ค้างอยู่จะต้องทำ
นายสุพจน์ ฤชุพันธุ์ เลขานุการรมว.สธ. กล่าวว่า การฟ้องครั้งศาลปกครองกลางถือว่าไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เพราะตามพ.ร.บ.องค์การเภสัชกรรม พ.ศ.2549 ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะปลดบอร์ดอภ.แล้วตั้งขึ้นใหม่ได้โดยมีเหตุผลหรือไม่ก็ได้ เมื่อนายไชยาเห็นว่า บอร์ดไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากมีกรรมการบอร์ดลาออกหลายคนก็จะต้องมีการแต่งตั้งใหม่ เพื่อเข้าไปทำงาน
นายไชยามอบหมายให้อัยการศาลปกครองกลางเป็นผู้ทำหน้าที่ โดยเตรียมเอกสารหนังสือจากนายเกริกไกร จีระแพทย์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ เสนอให้มีการทบทวนซีแอล รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับซีแอลทั้งหมด โดยมั่นใจว่าเพียงพอในการใช้เป็นเอกสารหลักฐานยื่นต่อศาลปกครองกลาง
“ปัญหาเรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎหมาย ซึ่งระบุชัดอยู่แล้วว่าการที่รัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 182 หรือไม่ เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด ตามมาตรา 91 และ 92 ของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ป.ป.ช. อีกทั้งไม่มีผลย้อนหลังถึงการทำงานก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยอีกด้วย ดังนั้นรับรองว่าการทำงานของนายไชยาถือว่าชอบธรรมตามกฎหมาย นอกจากนี้กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่า ภรรยารัฐมนตรีจะต้องแจ้งหากถือหุ้นเกิน 5% ด้วย ทั้งนี้นายไชยาคงไม่ฟ้องกลับหมอวิชัยอยู่แล้ว จะฟ้องก็ฟ้องไป พวกนี้ถือเป็นเรื่องไร้สาระ หากฟ้องมาก็แก้ต่างไปเท่านั้น แค่ทำให้ระคายเคืองแต่ไม่บาดเจ็บ” นายสุพจน์ กล่าว
นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดสธ.ในฐานะมิสเตอร์ซีแอล เลขานุการคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาการเข้าถึงยาระบบยาที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน กล่าวว่า ได้มีการเลื่อนการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ การเข้าถึงยา จากวันที่ 18 มิ.ย.ป็นวันที่ 24 มิ.ย.เวลา 14.00 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยถือว่าเป็นการประชุมใหญ่ครั้งแรก ซึ่งการเลื่อนการประชุมครั้งนี้ไม่ได้มีเหตุผลหรือปัญหาใดๆ เพียงเวลา ความพร้อมไม่ตรงกันเท่านั้น ดังนั้น การประชุมครั้งนี้ จึงมีผู้บริหารระดับสูงตอบรับเข้าร่วมประชุมครบทั้งหมด ส่วนเนื้อหาการประชุมนั้นขอไม่เปิดเผยรายละเอียด