เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่าคุณสมัคร สุนทรเวชไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป และคณะรัฐมนตรีชุดนี้ก็เช่นกัน มาทางไหนควรจะไปทางนั้น ถ้าไม่ไปประชาชนเจ้าของประเทศเจ้าของเงินภาษีอากรที่เป็นเงินเดือนจ้างพวกเขาก็ควรวางมือจากงานอื่นชั่วคราวหันมาขับไล่ให้พ้นไปเสียที
จะชั่วดีถี่ห่างอย่างไร นายกรัฐมนตรีควรเป็นคนที่พูดจาอยู่กับร่องอยู่กับรอย
ไม่ใช่พลิกพลิ้วบิดเบนไปวันๆ
อุตส่าห์ขอเวลาจ้อน้ำลายแตกฟองออกทีวีเพิ่มเป็นพิเศษอีก 1 ชั่วโมงในวันเสาร์ ใครฟังใครดูใครก็รู้ว่าจิตเจตนาต้องการผลักดันผู้ชุมนุมออกจากถนนราชดำเนินนอกภายในวันนั้น หรือก่อนเช้าวันอาทิตย์ที่ตนมีคิวน้ำลายแตกฟองหน้าจอตามปกติ ในรายการแม้ไม่มีคำว่า “สลายการชุมนุม” หรือ “สลายม็อบ” แต่สื่อมวลชนทุกคนทุกสำนัก - ไม่ใช่เฉพาะแต่ ASTV - เข้าใจตรงกัน เพราะทั้งรายการโดยภาพรวมแล้วแสดงแข็งกร้าว ใช้คำว่าจะต้องแตกหักกันวันนั้น
ภาพที่ปรากฏต่อสื่อทุกสำนักหลังจากนั้นก็คือการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการปราบจลาจลจากทั่วประเทศต่อเนื่องจนรวมกำลังกันแล้วมีประมาณ 6,000 คน
สื่อทุกสำนักไม่ใช่ควาย ที่จะไม่รู้ว่าอุปกรณ์ประกอบที่ระดมกันมานั้นครบมือ ทั้งกระบอง โล่ หมวกกันน็อก สนับแขนสนับแข้ง แก๊สน้ำตา
...แม้แต่ “กระสุนยาง” ก็เบิกกันมาเต็มพิกัด!
อย่าว่าแต่สื่อทุกสำนักที่รายงานเรื่องนี้ตลอดวันเลย แม้แต่นายรัฐมนตรีต่างประเทศตาไม่สามัคคี ยังแถลงข่าวเป็นทำนองขานรับว่าจะทำความเข้าใจต่อต่างประเทศในเรื่องสลายการชุมนุมเลย
นายกรัฐมนตรีคนนี้อีโก้จัด จนคิดว่าวิธี “แอ็กอาร์ต” ประกาศล่วงหน้าของตัวมัน “เท่” เสียเหลือเกิน เหมือนพระเอกหนังคาวบอยสมัยตัวเองยังหนุ่ม พระเอกที่มักเป็นนายอำเภอจะเดินอาด ๆ เข้ามาประกาศให้ผู้ร้ายวางอาวุธ ออกจากเมืองภายในกำหนด
หารู้ไม่ว่ามันก่อให้เกิดผลข้างเคียงอย่างแรง 2 ประการ
เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานยาก
ช่วย “เรียกแขก” ให้ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เสมือนเป็นแกนนำคนที่ 6
คนที่เอาใจช่วยพันธมิตรฯ คิดตรงกันว่าผู้มาร่วมชุมนุมในคืนวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2551 น่าจะเป็นจุดสูงสุด นับอย่างไม่เอาใจช่วยก็ต้องบอกว่าประมาณ 50,000 คน เพราะเชื่อว่าคืนนั้นน่าจะมีมาตรการพิเศษ เช่น การเคลื่อนขบวน แต่สุดท้ายก็ไม่มี เพราะไม่สามารถทำได้ และถึงทำได้การเคลื่อนขบวนไปอยู่ที่ใหม่ก็ไม่ทำให้เกิดอะไรดีขึ้น ผู้ร่วมชุมนุมคืนวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2551 ที่คาดๆ กันไว้น่าจะลดลง 1 ใน 3 และจะลดลงอีกในคืนวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2551 เพราะรุ่งขึ้นจะเป็นวันจันทร์วันทำงาน อย่าว่าแต่คนที่เอาใจช่วยจะคิดอย่างนี้เลย ผมว่าแกนนำก็คิดไม่ต่างกัน เพียงแต่จะพูดหรือไม่เท่านั้น
แต่การออกมาช่วย “เรียกแขก” ของแกนนำคนที่ 6 เช้าวันรุ่งขึ้น ทำให้มีผู้มาร่วมชุมนุมวันนั้นมากกว่าคืนก่อนอีกมาก นับอย่างไม่เอาใจช่วยก็พอจะพูดได้ว่า “เฉียดแสน” อย่างไม่น่าเกลียด!
และเป็น “เฉียดแสน” ที่เร่าร้อนและยืนหยัด!!
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังมีที่เริ่มตัดสินใจออกเดินทางมาจากต่างจังหวัดอีกจำนวนไม่น้อย ทำให้สามารถมองข้ามช็อตไปถึงมาตรการการชุมนุมในวันจันทร์วันอังคารที่ 2 - 3 มิถุนายน 2551 ได้เลย - ถ้าไม่ถูกสลายก่อนหน้า
และถ้ามีการสลาย - การชุมนุมชุดใหม่จะเกิดขึ้นทั้งในกทม.และทั่วประเทศ!
พูดง่ายๆ ว่าสลายเมื่อไรตัวเองฉิบหายเมื่อนั้น!!
ก่อนหน้าปฏิบัติการ “แอ็กอาร์ต” น้ำลายแตกฟองเช้าวันเสาร์ พูดตามตรงว่าการยกระดับคุณภาพของการชุมนุมจากคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นขับไล่รัฐบาล ยังมีผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อยไม่เห็นด้วยเต็ม 100 นัก เพราะเกรงว่าจะเป็นการเร็วเกินไป ทำให้เสียแนวร่วม
แต่หลังจาก 10.00 น. วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2551 ทุกคนเห็นพ้องต้องกันทันที
แล้วเป็นไงครับ
ที่สุดก็ไม่กล้า!
แต่ก็เหมือนคนกลัดกระดุมฉิ่งนั่นแหละ เมื่อกลัดเม็ดแรกผิดแล้ว เม็ดต่อๆ ไปก็ต้องผิดตาม นายกรัฐ มนตรีมอบให้ มท. 1 ให้สัมภาษณ์ในตอนค่ำ กลายเป็นคนละเรื่องไปเลย บอกว่าไม่มีการสลายการชุมนุมแน่ แต่ที่ต้องพูดในตอนเช้าเพราะทราบว่ามีแผนก่อการร้ายโดยผู้คนในสำนักงานทนายความใหญ่แถวบางโพ ตอนนี้เคลียร์กันได้แล้ว
เท่านั้นยังไม่พอ วันรุ่งขึ้นถึงคิวน้ำลายแตกฟองตามปกติ คนเป็นนายกรัฐมนตรีก็ออกมาประกาศหน้าตาเฉยว่าไม่เคยบอกว่าจะสลายการชุมนุม แต่ไม่เปลี่ยนแปลงความคิด จะต้องให้ตำรวจจัดการให้ผู้ชุมนุมออกจากถนนราชดำเนินนอกให้ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดเหมือนที่ มท. 1 พูด
ระหว่างคนเป็นนายกรัฐมนตรี กับคนเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ไม่รู้ใครเลอะเทอะมากกว่ากัน
เหมือนที่ตัดสินลำบากในกรณีวาทะเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่คนหนึ่งบอกว่า “มีคนตาย 1 คน” อีกคนหนึ่งบอกว่า “เพราะตำรวจคนหนึ่งเมา..ทำปืนลั่น” นั่นแหละ
แอ็กอาร์ตน้ำลายแตกฟองหนล่าสุด นายกรัฐมนตรีทำเท่ไปอีกขั้น ประกาศหลักการใหม่ว่าการผลักดันให้เลิกชุมนุมจะ “ถ่ายทอดสด” ทุกขั้นตอน โดยตำรวจจะไม่มีแม้แต่กระบอง
ยุ่งยากกับตำรวจผู้ปฏิบัติหนักเข้าไปอีก!
มีตำรวจคนไหนในประเทศนี้ที่จะมามีคารมคมคายประกอบด้วยเหตุผลสู้กับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ ขอให้ถ่ายทอดสดจริงตามคำของผู้เป็นนายกรัฐมนตรีเถอะครับ ประชาชนที่ยังหลับใหลอยู่เพราะไม่ได้ดู ASTV จะได้รับข้อมูลที่พวกเขาไม่เคยรับรู้ การชุมนุมบนถนนราชดำเนินกลางจะได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ ๆ
ถ้าผมเป็นพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผมจะขอให้นายกรัฐมนตรีมาเจรจาเอง!
จากสมัครเช้าวันเสาร์...เฉลิมค่ำวันเสาร์...มาถึงสมัครเช้าวันอาทิตย์...รัฐบาลชุดนี้นายกรัฐมนตรีคนนี้พ่ายแพ้ทางการเมืองเกือบจะสิ้นเชิงแล้ว
การชุมนุมน่าจะผ่านสุดสัปดาห์มาได้ในลักษณะที่ประสบผลสำเร็จเกินคาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับคุณภาพมาเป็นการขับไล่รัฐบาล
แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลยัง “นกรู้” นัดกินข้าวเย็นกันเมื่อค่ำวันเสาร์ทำทีทำท่าเป็นไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนายกรัฐมนตรีตอนเช้า
แกนนำคิดมุกสำหรับวันจันทร์วันอังคารนี้ได้เลย
ดีไม่ดี - เปิดการชุมนุมอีกจุดที่หน้าทำเนียบรัฐบาลได้เลย
คุณสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรีที่น่าสงสาร ไม่มีพรรคของตัวเอง ลูกพรรคจึงไม่ฟัง ต้องไปเอาพวก นปก.ที่พรรคเริ่มไม่ใช้เพราะหมดประโยชน์และซ่าเกินไปมาเลี้ยง คนที่มาด้วยกับตัวอีก 2 คน ตอนนี้คนหนึ่งก็ชิงไปแล้ว
แต่ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ ช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลยว่าผู้คนเขา “เกลียด” มากแค่ไหน!
จะชั่วดีถี่ห่างอย่างไร นายกรัฐมนตรีควรเป็นคนที่พูดจาอยู่กับร่องอยู่กับรอย
ไม่ใช่พลิกพลิ้วบิดเบนไปวันๆ
อุตส่าห์ขอเวลาจ้อน้ำลายแตกฟองออกทีวีเพิ่มเป็นพิเศษอีก 1 ชั่วโมงในวันเสาร์ ใครฟังใครดูใครก็รู้ว่าจิตเจตนาต้องการผลักดันผู้ชุมนุมออกจากถนนราชดำเนินนอกภายในวันนั้น หรือก่อนเช้าวันอาทิตย์ที่ตนมีคิวน้ำลายแตกฟองหน้าจอตามปกติ ในรายการแม้ไม่มีคำว่า “สลายการชุมนุม” หรือ “สลายม็อบ” แต่สื่อมวลชนทุกคนทุกสำนัก - ไม่ใช่เฉพาะแต่ ASTV - เข้าใจตรงกัน เพราะทั้งรายการโดยภาพรวมแล้วแสดงแข็งกร้าว ใช้คำว่าจะต้องแตกหักกันวันนั้น
ภาพที่ปรากฏต่อสื่อทุกสำนักหลังจากนั้นก็คือการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการปราบจลาจลจากทั่วประเทศต่อเนื่องจนรวมกำลังกันแล้วมีประมาณ 6,000 คน
สื่อทุกสำนักไม่ใช่ควาย ที่จะไม่รู้ว่าอุปกรณ์ประกอบที่ระดมกันมานั้นครบมือ ทั้งกระบอง โล่ หมวกกันน็อก สนับแขนสนับแข้ง แก๊สน้ำตา
...แม้แต่ “กระสุนยาง” ก็เบิกกันมาเต็มพิกัด!
อย่าว่าแต่สื่อทุกสำนักที่รายงานเรื่องนี้ตลอดวันเลย แม้แต่นายรัฐมนตรีต่างประเทศตาไม่สามัคคี ยังแถลงข่าวเป็นทำนองขานรับว่าจะทำความเข้าใจต่อต่างประเทศในเรื่องสลายการชุมนุมเลย
นายกรัฐมนตรีคนนี้อีโก้จัด จนคิดว่าวิธี “แอ็กอาร์ต” ประกาศล่วงหน้าของตัวมัน “เท่” เสียเหลือเกิน เหมือนพระเอกหนังคาวบอยสมัยตัวเองยังหนุ่ม พระเอกที่มักเป็นนายอำเภอจะเดินอาด ๆ เข้ามาประกาศให้ผู้ร้ายวางอาวุธ ออกจากเมืองภายในกำหนด
หารู้ไม่ว่ามันก่อให้เกิดผลข้างเคียงอย่างแรง 2 ประการ
เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานยาก
ช่วย “เรียกแขก” ให้ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เสมือนเป็นแกนนำคนที่ 6
คนที่เอาใจช่วยพันธมิตรฯ คิดตรงกันว่าผู้มาร่วมชุมนุมในคืนวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2551 น่าจะเป็นจุดสูงสุด นับอย่างไม่เอาใจช่วยก็ต้องบอกว่าประมาณ 50,000 คน เพราะเชื่อว่าคืนนั้นน่าจะมีมาตรการพิเศษ เช่น การเคลื่อนขบวน แต่สุดท้ายก็ไม่มี เพราะไม่สามารถทำได้ และถึงทำได้การเคลื่อนขบวนไปอยู่ที่ใหม่ก็ไม่ทำให้เกิดอะไรดีขึ้น ผู้ร่วมชุมนุมคืนวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2551 ที่คาดๆ กันไว้น่าจะลดลง 1 ใน 3 และจะลดลงอีกในคืนวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2551 เพราะรุ่งขึ้นจะเป็นวันจันทร์วันทำงาน อย่าว่าแต่คนที่เอาใจช่วยจะคิดอย่างนี้เลย ผมว่าแกนนำก็คิดไม่ต่างกัน เพียงแต่จะพูดหรือไม่เท่านั้น
แต่การออกมาช่วย “เรียกแขก” ของแกนนำคนที่ 6 เช้าวันรุ่งขึ้น ทำให้มีผู้มาร่วมชุมนุมวันนั้นมากกว่าคืนก่อนอีกมาก นับอย่างไม่เอาใจช่วยก็พอจะพูดได้ว่า “เฉียดแสน” อย่างไม่น่าเกลียด!
และเป็น “เฉียดแสน” ที่เร่าร้อนและยืนหยัด!!
ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังมีที่เริ่มตัดสินใจออกเดินทางมาจากต่างจังหวัดอีกจำนวนไม่น้อย ทำให้สามารถมองข้ามช็อตไปถึงมาตรการการชุมนุมในวันจันทร์วันอังคารที่ 2 - 3 มิถุนายน 2551 ได้เลย - ถ้าไม่ถูกสลายก่อนหน้า
และถ้ามีการสลาย - การชุมนุมชุดใหม่จะเกิดขึ้นทั้งในกทม.และทั่วประเทศ!
พูดง่ายๆ ว่าสลายเมื่อไรตัวเองฉิบหายเมื่อนั้น!!
ก่อนหน้าปฏิบัติการ “แอ็กอาร์ต” น้ำลายแตกฟองเช้าวันเสาร์ พูดตามตรงว่าการยกระดับคุณภาพของการชุมนุมจากคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นขับไล่รัฐบาล ยังมีผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อยไม่เห็นด้วยเต็ม 100 นัก เพราะเกรงว่าจะเป็นการเร็วเกินไป ทำให้เสียแนวร่วม
แต่หลังจาก 10.00 น. วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2551 ทุกคนเห็นพ้องต้องกันทันที
แล้วเป็นไงครับ
ที่สุดก็ไม่กล้า!
แต่ก็เหมือนคนกลัดกระดุมฉิ่งนั่นแหละ เมื่อกลัดเม็ดแรกผิดแล้ว เม็ดต่อๆ ไปก็ต้องผิดตาม นายกรัฐ มนตรีมอบให้ มท. 1 ให้สัมภาษณ์ในตอนค่ำ กลายเป็นคนละเรื่องไปเลย บอกว่าไม่มีการสลายการชุมนุมแน่ แต่ที่ต้องพูดในตอนเช้าเพราะทราบว่ามีแผนก่อการร้ายโดยผู้คนในสำนักงานทนายความใหญ่แถวบางโพ ตอนนี้เคลียร์กันได้แล้ว
เท่านั้นยังไม่พอ วันรุ่งขึ้นถึงคิวน้ำลายแตกฟองตามปกติ คนเป็นนายกรัฐมนตรีก็ออกมาประกาศหน้าตาเฉยว่าไม่เคยบอกว่าจะสลายการชุมนุม แต่ไม่เปลี่ยนแปลงความคิด จะต้องให้ตำรวจจัดการให้ผู้ชุมนุมออกจากถนนราชดำเนินนอกให้ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดเหมือนที่ มท. 1 พูด
ระหว่างคนเป็นนายกรัฐมนตรี กับคนเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ไม่รู้ใครเลอะเทอะมากกว่ากัน
เหมือนที่ตัดสินลำบากในกรณีวาทะเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่คนหนึ่งบอกว่า “มีคนตาย 1 คน” อีกคนหนึ่งบอกว่า “เพราะตำรวจคนหนึ่งเมา..ทำปืนลั่น” นั่นแหละ
แอ็กอาร์ตน้ำลายแตกฟองหนล่าสุด นายกรัฐมนตรีทำเท่ไปอีกขั้น ประกาศหลักการใหม่ว่าการผลักดันให้เลิกชุมนุมจะ “ถ่ายทอดสด” ทุกขั้นตอน โดยตำรวจจะไม่มีแม้แต่กระบอง
ยุ่งยากกับตำรวจผู้ปฏิบัติหนักเข้าไปอีก!
มีตำรวจคนไหนในประเทศนี้ที่จะมามีคารมคมคายประกอบด้วยเหตุผลสู้กับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ ขอให้ถ่ายทอดสดจริงตามคำของผู้เป็นนายกรัฐมนตรีเถอะครับ ประชาชนที่ยังหลับใหลอยู่เพราะไม่ได้ดู ASTV จะได้รับข้อมูลที่พวกเขาไม่เคยรับรู้ การชุมนุมบนถนนราชดำเนินกลางจะได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ ๆ
ถ้าผมเป็นพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผมจะขอให้นายกรัฐมนตรีมาเจรจาเอง!
จากสมัครเช้าวันเสาร์...เฉลิมค่ำวันเสาร์...มาถึงสมัครเช้าวันอาทิตย์...รัฐบาลชุดนี้นายกรัฐมนตรีคนนี้พ่ายแพ้ทางการเมืองเกือบจะสิ้นเชิงแล้ว
การชุมนุมน่าจะผ่านสุดสัปดาห์มาได้ในลักษณะที่ประสบผลสำเร็จเกินคาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับคุณภาพมาเป็นการขับไล่รัฐบาล
แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลยัง “นกรู้” นัดกินข้าวเย็นกันเมื่อค่ำวันเสาร์ทำทีทำท่าเป็นไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนายกรัฐมนตรีตอนเช้า
แกนนำคิดมุกสำหรับวันจันทร์วันอังคารนี้ได้เลย
ดีไม่ดี - เปิดการชุมนุมอีกจุดที่หน้าทำเนียบรัฐบาลได้เลย
คุณสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรีที่น่าสงสาร ไม่มีพรรคของตัวเอง ลูกพรรคจึงไม่ฟัง ต้องไปเอาพวก นปก.ที่พรรคเริ่มไม่ใช้เพราะหมดประโยชน์และซ่าเกินไปมาเลี้ยง คนที่มาด้วยกับตัวอีก 2 คน ตอนนี้คนหนึ่งก็ชิงไปแล้ว
แต่ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ ช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลยว่าผู้คนเขา “เกลียด” มากแค่ไหน!