xs
xsm
sm
md
lg

เครือข่ายสตรีฯไม่ปล่อย “วัลลภ” กลับนั่งปลัด พม.เตรียมร้อง ป.ป.ช.-ฝ่ายค้าน-แฉกลางพันธมิตรฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายวัลลภ พลอยทับทิม
เครือข่ายองค์กรด้านเด็กและสตรีแสดงจุดยืนแน่วแน่ไม่เห็นด้วย “วัลลภ” กลับนั่งปลัด พม.ชี้ แค่บกพร่องต่อหน้าที่ก็ไม่สมควรกลับมาแล้ว เดินหน้าตรวจสอบเองเผยเตรียมเข้าพบรมว.พม.คนใหม่ พร้อมส่งเอกสารการทุจริตให้ ป.ป.ช.ฝ่ายค้าน และอาจเปิดข้อมูลต่อสาธารณะในเวทีพันธมิตรฯ

จากกรณีที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายวัลลภ พลอยทับทิม ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2551 และนายวัลลภ ได้รับคำสั่งให้กลับไปปฏิบัติราชการในกระทรวงพัฒนาสังคมฯในวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น เครือข่ายองค์กรด้านเด็กและสตรีเพื่อติดตามตรวจสอบจริยธรรมข้าราชการระดับสูงมีความเคลือบแคลงในการยกเลิกคำสั่งดังกล่าว จึงจัดการเสวนาหัวข้อ “ย้อนรอย...เส้นทางการตรวจสอบข้าราชการระดับสูง...?” ขึ้น โดยมี นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกาญจนาภิเษก,นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง พม.,นายปรีชา นิสารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักพิทักษ์ระบบคุณธรรม สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และเครือข่ายภาคประชาสังคมเข้าร่วมเสวนา

นพ.พลเดช ให้ภาพในขณะที่เข้าไปดำรงตำแหน่ง รมช.พม.ว่า พบข้อขัดแย้งในกระทรวงค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะการร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม มีการซื้อตำแหน่ง ผ่านบัตรสนเท่ห์จากข้าราชการในกระทรวง จนกระทั่งเรื่องที่ทำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางผ่านสื่อมวลชน คือ ประเด็นการชู้สาว ดังนั้นจึงเริ่มแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีนายจรัญ ภักดีธนากุล เป็นประธาน

“กรรมการตรวจสอบรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับเบาะแสในวันที่ 19 ต.ค.2550 ว่า มี 6 ประเด็นจึงมีคำสั่งให้ย้ายปลัด พม.ไปประจำที่สำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง และวันที่ 20 ธ.ค.2550 ก็มีรายงานว่าเอาผิดได้ยาก และมีเพียงเรื่องทุจริตโรงรับจำนำ 40 ล้านเท่านั้นที่ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทางวินัยต่อ แต่ระหว่างนั้นเราก็หมดวาระ และคิดว่าถ้ารัฐบาลนี้ได้ดำเนินการต่อก็น่าจะมีผลคืบหน้า แต่คาดว่าคงจะไม่ได้ดำเนินการใดๆ ต่อจากนั้น” นพ.พลเดช กล่าว

นายปรีชา กล่าวว่า ในกรณีนี้ที่ไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบทางวินัยร้ายแรงกับนายวัลลภได้ เนื่องจากกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้นได้มาผิดช่องทาง กล่าวคือ การร้องเรียนผ่านบัตรสนเท่โดยที่ไม่มีการลงรายชื่อ หรือมีเอกสารยืนยันนั้นจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบร้ายแรงไม่ได้ และเรื่องที่คณะตรวจสอบข้อเท็จจริงในคณะของนายจรัญส่งมา6 ประเด็นนั้น แต่เมื่อมาถึงสำนักงาน ก.พ.เหลือเพียงเรื่องเดียว คือ เกี่ยวกับการทุจริตในสำนักงานธนานุเคราะห์ ที่มีการประเมินราคาทรัพย์สินที่นำมาจำนำเกินจริง ก่อให้เกิดความเสียหาย 40 ล้านบาท แต่นายวัลลภในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาไม่ดำเนินการแก้ปัญหาถือเป็นเพียงการบกพร่องต่อหน้าที่เท่านั้นยังไม่ถือเป็นการทำผิดทางวินัยร้ายแรง

“ประเด็นการชู้สาวและเรื่องอื่นๆ เราไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟัง โรงรับจำนำมีตัวบุคคลชัดเจนก็จริง แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่จะแสดงว่านายวัลลภทำผิดวินัยร้ายแรง ก.พ.ในฐานะคนกลางที่ทำหน้าที่คุ้มครองข้าราชการ และรักษามาตรฐานทางวินัยข้าราชการก็ต้องให้ความเป็นธรรมถ้าเขาไม่มีความผิด แต่ในกรณีที่ปลัดพม.กลับเข้าไปทำหน้าที่เดิมแล้ว จะให้มีการสอบสวนก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาว่าเห็นชอบให้ดำเนินการอย่างไร ซึ่งในที่นี้ก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯหรือนายกรัฐมนตรีเท่านั้น หากมีเรื่องยื่นมา เราก็ยินดีจะสืบสวนต่อ” นายปรีชา กล่าว

ด้าน นางทิชา ให้ความเห็นว่า จากวันที่ 11 มิ.ย.ซึ่งตนและเครือข่ายองค์กรด้านเด็กและสตรีฯ ได้เข้าพบนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์นั้นมีคำถามหลายข้อที่รองนายกรัฐมนตรีไม่สามารถชี้แจงได้ อาทิ เรื่องการโอนเงินเข้าบัญชีข้าราชการซี 8 จำนวน 6 บัญชีโดยความเคลื่อนไหวมากในปี 2549 หมุนเวียนครั้งละไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท หรือ การทุจริตในโรงรับจำนำ อันบ่งชี้ว่าปลัดกระทรวงพม.นั้นบกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ เพียงเท่านี้ก็เป็นเหตุอันไม่ชอบธรรมที่ไม่สามารถมานั่งในตำแหน่งเดิมได้

“ในระดับผู้บริหารกระทรวงแค่มีมูลบ่งชี้ว่าบกพร่องก็มีเหตุเพียงพอแล้วว่าไม่สมควรกลับมาทำหน้าในตำแหน่งเดิม แต่รองนายกฯก็บอกแค่ว่าไม่รู้ แต่คำอุทรณ์ของนายวัลลภฟังขึ้น เรารับไม่ได้ถ้าหากกฎหมายประเทศนี้จะปกป้องข้าราชการ แต่ไม่ปกป้องประชาชน และขอเตือนว่าอย่าได้พูดแบบนี้บ่อยๆ ซ้ำซาก เพราะจะทำให้เกิดวิกฤตศรัทธา ซึ่งจะว่าไปแล้วรัฐบาลชุดนี้ก็เก่งในเรื่องสร้างวิกฤตศรัทธา เรื่องนี้ทำให้เรียนรู้ว่า อย่าไปหวังอะไรกับการเมือง ข้าราชการมากนัก ประชาสังคมต้องเข็มแข็งในรัฐบาลที่ฉ้อฉล และในวันที่ข้าราชการประจำอ่อนแอ”

นางทิชา กล่าวและว่า เมื่อ นายวัลลภ เข้ามารับตำแหน่งเดิมจะมีการเช็คบิลข้าราชการฝ่ายตรงข้ามอย่างแน่นอน แต่อาจจะกระทำอย่างแนบเนียนและระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม โดยเชื่ออีกว่ากลุ่มข้าราชการที่เคยให้ข้อมูลจะไม่กล้าออกมาเปิดเผยตัวหรือแสดงหลักฐานอีก ดังนั้นตนและเครือข่ายจึงเห็นว่าสมควรจะต้องมีคำสั่งชะลอการต่ออายุราชการของนายวัลลภที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้าก่อน และย้ายปลัด พม.ผู้นี้ไปปฏิบัติงานที่อื่นก่อนที่จะมีการสอบสวนอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เครือข่ายองค์กรด้านเด็กและสตรีฯ ยังยืนยันในแนวทางการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรมในข้าราชการ 3 แนวทาง ได้แก่ 1.เตรียมเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์คนใหม่ เพื่อนำเรื่องนี้ให้พิจารณาตั้งคณะกรรมการสอบสวนต่อไป 2.นำเอกสารเกี่ยวกับการถ่ายโอนบัญชีกรณีซื้อขายตำแหน่ง และการทุจริตโรงรับจำนำให้ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมทั้งอาจจะเปิดเผยข้อมูลในเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย และ 3. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภาคประชาสังคมอย่างเข้มข้น
กำลังโหลดความคิดเห็น