“สมชาย” เผย ไฟเขียวปรับเพดานรายได้ครอบครัวจาก 1.5 แสนบาท เป็นเกิน 2 แสนบาท แย้มจะมีเด็กกู้เพิ่มร้อยละ 15 ฟุ้งเด็กกู้ทัน 2 มิ.ย.นี้ ด้าน บุญลือ ชี้ควรปรับเกณฑ์ เพราะใช้มากว่า 10 ปี ส่วน นพ.ธาดา ยันมีเงินพอให้เด็กกู้
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยการประชุมร่วมกับ ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (เลขาธิการ กกอ.) นพ.ธาดา มาร์ติน ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ว่า ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (20 พ.ค.) ตนได้หารือกับ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอให้ปรับเงื่อนไขการกู้เงิน กยศ.ขยายเพดานรายได้ครอบครัวที่มีสิทธิ์กู้กองทุน จากเดิมกำหนดไว้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 แสนบาทต่อปี เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กมีสิทธิ์กู้ยืมมากขึ้น รมว.คลัง เห็นด้วยและให้เรื่องนี้ถือเป็นนโยบายรัฐบาล วันนี้ (21 พ.ค.) จึงเชิญผู้เกี่ยวข้องมาหารือ อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้นไม่สามารถฟันธงได้ว่าเพดานใหม่จะอยู่ที่เท่าไหร่ คาดว่า เกิน 2 แสนบาทแน่นอน หากในอนาคตรัฐบาลมีเงินจะสนับสนุนให้ขยายเพดานเพิ่มขึ้นอีก
พร้อมกันนี้ ยังได้หารือกันเกี่ยวกับขั้นตอนการกู้เงิน ให้ปรับลดขั้นตอนการกู้ลงมาเพื่อให้เด็กที่สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แล้วให้มหาวิทยาลัยพิจารณาว่าเด็กคนนั้นมีคุณสมบัติตรงกับเงื่อนไขขอกู้กองทุนได้ ก็ให้เด็กลงทะเบียนและเข้าไปนั่งเรียนได้ทันที ส่วนเงินทางกองทุน กยศ.จะอนุมัติเงินมาให้มหาวิทยาลัยในภายหลัง และระหว่างนี้มหาวิทยาลัยยังไม่เปิดเทอม ขอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้คนรับทราบว่า มีกองทุน กยศ.และกองทุนกู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ให้กู้ยืมเรียน และกำชับให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ความรู้แก่นักเรียนที่มีปัญหาทางการเงินมีสิทธิ์อะไรบ้าง มีขั้นตอนอย่างไร เพื่อลดภาวการณ์คิดสั้นของเด็ก เมื่อมีปัญหาไม่มีเงินเรียน
“การขยายเกณฑ์ ขยายเพดานครั้งนี้ไม่ใช่ทำแบบวัวหายแล้วล้อมคอก เมื่อมีเหตุนักเรียนฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้มีผลกระทบ เกิดความไม่สบายใจต่อสังคม จำเป็นต้องเพิ่มช่องทางให้เด็กมีโอกาสกู้เรียน”นายสมชาย กล่าวอีกว่า ปีการศึกษาหน้าเราจะรวมให้เหลือเพียงกองทุนเดียว โดยจะนำจุดดีของทั้ง 2 กองมาผสมผสานกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น
ขณะที่ นายบุญลือ กล่าวเสริมว่า เกณฑ์เพดานรายได้ครอบครัว 1.5 แสนบาท ใช้มาตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบันนี้ ก็รวมเวลากว่า 10 ปี และไม่เคยมีการปรับแก้เกณฑ์แต่อย่างใด เมื่อเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายของรัฐบาล เชื่อว่า จะผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการอำนวยการกองทุน กยศ.และคาดว่าเพดานใหม่น่าจะอยู่ระหว่าง 2.1-2.5 แสนบาท อย่างไรก็ดี คาดว่าจะดำเนินการทันก่อนเปิดภาคเรียนวันที่ 2 มิ.ย.นี้
ด้าน นพ.ธาดา กล่าวว่า หากปรับรายได้ครอบครัวเพิ่มเป็น 2 แสนบาท คาดว่า จะมีผู้ขอกู้ใหม่ประมาณ 10-15% ของจำนวนผู้กู้รายเก่าและรายใหม่ทั้งหมด จำนวน 8.4 แสนคน ทั้งนี้ คาดการณ์ไม่ได้ว่าต้องใช้งบประมาณเพิ่มอีกเท่าใด ขึ้นอยู่กับว่าผู้กู้รายใหม่จะเรียนระดับใด และทางกองทุน กยศ.มีงบประมาณรองรับเพียงพอ แต่ในปีแรกภาระงบประมาณจะไม่สูงมาก แต่จะทวีคูณเพิ่มขึ้นในปีต่อๆ ไป ดังนั้น ทางกองทุน กยศ.จะต้องไปทำข้อมูลมาโดยละเอียดก่อนจะเสนอบอร์ดกองทุนพิจารณา และจะนำเข้าที่ประชุมในเร็วๆ นี้ เพื่อให้แล้วเสร็จก่อนเปิดภาคเรียน
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยการประชุมร่วมกับ ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (เลขาธิการ กกอ.) นพ.ธาดา มาร์ติน ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ว่า ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (20 พ.ค.) ตนได้หารือกับ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขอให้ปรับเงื่อนไขการกู้เงิน กยศ.ขยายเพดานรายได้ครอบครัวที่มีสิทธิ์กู้กองทุน จากเดิมกำหนดไว้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 แสนบาทต่อปี เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กมีสิทธิ์กู้ยืมมากขึ้น รมว.คลัง เห็นด้วยและให้เรื่องนี้ถือเป็นนโยบายรัฐบาล วันนี้ (21 พ.ค.) จึงเชิญผู้เกี่ยวข้องมาหารือ อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้นไม่สามารถฟันธงได้ว่าเพดานใหม่จะอยู่ที่เท่าไหร่ คาดว่า เกิน 2 แสนบาทแน่นอน หากในอนาคตรัฐบาลมีเงินจะสนับสนุนให้ขยายเพดานเพิ่มขึ้นอีก
พร้อมกันนี้ ยังได้หารือกันเกี่ยวกับขั้นตอนการกู้เงิน ให้ปรับลดขั้นตอนการกู้ลงมาเพื่อให้เด็กที่สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แล้วให้มหาวิทยาลัยพิจารณาว่าเด็กคนนั้นมีคุณสมบัติตรงกับเงื่อนไขขอกู้กองทุนได้ ก็ให้เด็กลงทะเบียนและเข้าไปนั่งเรียนได้ทันที ส่วนเงินทางกองทุน กยศ.จะอนุมัติเงินมาให้มหาวิทยาลัยในภายหลัง และระหว่างนี้มหาวิทยาลัยยังไม่เปิดเทอม ขอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้คนรับทราบว่า มีกองทุน กยศ.และกองทุนกู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ให้กู้ยืมเรียน และกำชับให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ความรู้แก่นักเรียนที่มีปัญหาทางการเงินมีสิทธิ์อะไรบ้าง มีขั้นตอนอย่างไร เพื่อลดภาวการณ์คิดสั้นของเด็ก เมื่อมีปัญหาไม่มีเงินเรียน
“การขยายเกณฑ์ ขยายเพดานครั้งนี้ไม่ใช่ทำแบบวัวหายแล้วล้อมคอก เมื่อมีเหตุนักเรียนฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้มีผลกระทบ เกิดความไม่สบายใจต่อสังคม จำเป็นต้องเพิ่มช่องทางให้เด็กมีโอกาสกู้เรียน”นายสมชาย กล่าวอีกว่า ปีการศึกษาหน้าเราจะรวมให้เหลือเพียงกองทุนเดียว โดยจะนำจุดดีของทั้ง 2 กองมาผสมผสานกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น
ขณะที่ นายบุญลือ กล่าวเสริมว่า เกณฑ์เพดานรายได้ครอบครัว 1.5 แสนบาท ใช้มาตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบันนี้ ก็รวมเวลากว่า 10 ปี และไม่เคยมีการปรับแก้เกณฑ์แต่อย่างใด เมื่อเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายของรัฐบาล เชื่อว่า จะผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการอำนวยการกองทุน กยศ.และคาดว่าเพดานใหม่น่าจะอยู่ระหว่าง 2.1-2.5 แสนบาท อย่างไรก็ดี คาดว่าจะดำเนินการทันก่อนเปิดภาคเรียนวันที่ 2 มิ.ย.นี้
ด้าน นพ.ธาดา กล่าวว่า หากปรับรายได้ครอบครัวเพิ่มเป็น 2 แสนบาท คาดว่า จะมีผู้ขอกู้ใหม่ประมาณ 10-15% ของจำนวนผู้กู้รายเก่าและรายใหม่ทั้งหมด จำนวน 8.4 แสนคน ทั้งนี้ คาดการณ์ไม่ได้ว่าต้องใช้งบประมาณเพิ่มอีกเท่าใด ขึ้นอยู่กับว่าผู้กู้รายใหม่จะเรียนระดับใด และทางกองทุน กยศ.มีงบประมาณรองรับเพียงพอ แต่ในปีแรกภาระงบประมาณจะไม่สูงมาก แต่จะทวีคูณเพิ่มขึ้นในปีต่อๆ ไป ดังนั้น ทางกองทุน กยศ.จะต้องไปทำข้อมูลมาโดยละเอียดก่อนจะเสนอบอร์ดกองทุนพิจารณา และจะนำเข้าที่ประชุมในเร็วๆ นี้ เพื่อให้แล้วเสร็จก่อนเปิดภาคเรียน
