สปสช.แนะประชาชนที่เดินทางท่องเที่ยว กลับบ้านเพื่อฉลองสงกรานต์ให้พกบัตรทองและบัตรประชาชนติดตัว หากเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้ทุกแห่ง พร้อมสั่งเพิ่มเจ้าหน้าที่สายด่วน 1330 เป็น 2 เท่าช่วงวันหยุด พร้อมให้คำปรึกษา ตรวจสอบสิทธิการรักษา ประสานงานส่งต่อผู้ป่วย
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ช่วงวันที่ 10-17 เม.ย.ซึ่งเป็นเทศกาลวันสงกรานต์ มีประชาชนจำนวนมากเดินทางไปท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติ คาดว่าน่าจะมีการเดินทางนับล้านคน ซึ่งมีโอกาสเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ สิทธิรักษาพยาบาลมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติปี 2545 นั้น ผู้ถือบัตรทองสามารถเข้ารักษาในสถานพยาบาลได้ทุกแห่งที่เข้าร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าทั่วประเทศ เพื่อช่วยชีวิตหรือช่วยผ่าตัดเร่งด่วน ก่อนส่งตัวกลับไปรักษาพยาบาลที่หน่วยบริการประจำต่อไป ซึ่งกรณีฉุกเฉินหรือเกิดอุบัติเหตุ ไม่ต้องเข้ารับการรักษาตามสถานพยาบาลที่ระบุไว้ในบัตร แต่หากไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน ผู้ถือบัตรทองจะต้องเข้ารับบริการตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในบัตรทอง
“กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ต้องมีข้อบ่งชี้ว่าโรค หรืออาการของโรคมีลักษณะรุนแรง ต้องรักษาเป็นการเร่งด่วน หากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือทุพพลภาพหรืออาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที รวมทั้งโรคที่ต้องผ่าตัดด่วนหากปล่อยไว้จะเป็นอันตราย ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่เข้าร่วมโครงการฯ ที่ให้การรักษาผู้ป่วยบัตรทองสามารถเบิกค่ารักษาได้จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามจริงแต่ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด” นพ.วินัย กล่าว และว่า รายละเอียดการเบิกจ่ายเงิน การใช้สิทธิเข้ารักษาพยาบาล หรือข้อสงสัยต่างๆ สอบถามได้ที่สายด่วนบัตรทอง โทร.1330 ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน โดย ในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์นี้ได้เพิ่มเจ้าหน้าที่ในแต่ละกะเป็น 2 เท่า
นพ.วินัย กล่าวด้วยว่า มีประชาชนใช้บริการสายด่วนบัตรทองวันละประมาณ 1,000 ครั้ง ส่วนใหญ่ใช้เวลาสอบถามเฉลี่ย 3-5 นาที แต่มีบางรายที่ปัญหาซับซ้อนใช้เวลาปรึกษาประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็มี ปัญหาส่วนใหญ่ที่ให้ตรวจสอบคือ ตรวจสอบการมีสิทธิรักษาบัตรทอง การส่งต่อผู้ป่วย การปลดสิทธิ์จากประกันสังคมเป็นสิทธิบัตรทอง เป็นต้น ดังนั้น หากประชาชนพกบัตรทองและบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวจะสะดวกในการเข้ารับการรักษาในยามเจ็บป่วย
นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ช่วงวันที่ 10-17 เม.ย.ซึ่งเป็นเทศกาลวันสงกรานต์ มีประชาชนจำนวนมากเดินทางไปท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติ คาดว่าน่าจะมีการเดินทางนับล้านคน ซึ่งมีโอกาสเจ็บป่วยฉุกเฉินได้ สิทธิรักษาพยาบาลมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติปี 2545 นั้น ผู้ถือบัตรทองสามารถเข้ารักษาในสถานพยาบาลได้ทุกแห่งที่เข้าร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าทั่วประเทศ เพื่อช่วยชีวิตหรือช่วยผ่าตัดเร่งด่วน ก่อนส่งตัวกลับไปรักษาพยาบาลที่หน่วยบริการประจำต่อไป ซึ่งกรณีฉุกเฉินหรือเกิดอุบัติเหตุ ไม่ต้องเข้ารับการรักษาตามสถานพยาบาลที่ระบุไว้ในบัตร แต่หากไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน ผู้ถือบัตรทองจะต้องเข้ารับบริการตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในบัตรทอง
“กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ต้องมีข้อบ่งชี้ว่าโรค หรืออาการของโรคมีลักษณะรุนแรง ต้องรักษาเป็นการเร่งด่วน หากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือทุพพลภาพหรืออาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที รวมทั้งโรคที่ต้องผ่าตัดด่วนหากปล่อยไว้จะเป็นอันตราย ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่เข้าร่วมโครงการฯ ที่ให้การรักษาผู้ป่วยบัตรทองสามารถเบิกค่ารักษาได้จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามจริงแต่ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด” นพ.วินัย กล่าว และว่า รายละเอียดการเบิกจ่ายเงิน การใช้สิทธิเข้ารักษาพยาบาล หรือข้อสงสัยต่างๆ สอบถามได้ที่สายด่วนบัตรทอง โทร.1330 ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน โดย ในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์นี้ได้เพิ่มเจ้าหน้าที่ในแต่ละกะเป็น 2 เท่า
นพ.วินัย กล่าวด้วยว่า มีประชาชนใช้บริการสายด่วนบัตรทองวันละประมาณ 1,000 ครั้ง ส่วนใหญ่ใช้เวลาสอบถามเฉลี่ย 3-5 นาที แต่มีบางรายที่ปัญหาซับซ้อนใช้เวลาปรึกษาประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็มี ปัญหาส่วนใหญ่ที่ให้ตรวจสอบคือ ตรวจสอบการมีสิทธิรักษาบัตรทอง การส่งต่อผู้ป่วย การปลดสิทธิ์จากประกันสังคมเป็นสิทธิบัตรทอง เป็นต้น ดังนั้น หากประชาชนพกบัตรทองและบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวจะสะดวกในการเข้ารับการรักษาในยามเจ็บป่วย