“อภิรักษ์” เผยยังไม่ได้รับหนังสือจาก คตส.ให้ชี้แจงข้อกล่าวทุจริตรถดับเพลิงแต่พร้อมเข้าชี้แจงทุกเมื่อ ส่วนเมื่อครบกำหนดลากิจรอบ 2 แล้วจะกลับมาทำงานตำแหน่งผู้ว่าฯ หรือไม่นั้นยังไม่ทราบ ปัดตอบ “ณฐนนท” แจ้งข้อกล่าวหาจัดซื้อรถบีอาร์ทีแพงเกินจริง เพราะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ขณะที่ “พนิช” สวนกลับมั่วข้อมูล พร้อมรับซื้อแพงจริงแต่รวมค่าซ่อมบำรุงอีก 3 ปี ระบุอดีตปลัด กทม.เคลื่อนไหวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ กทม.และหวังผลทางการเมือง
จากกรณีที่คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัด กทม.เข้ายื่นหนังสือกล่าวหา นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.และ กทม. ล็อกสเปกรถบีอาร์ที ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอภิรักษ์ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องดังกล่าว โดยบอกว่าขณะนี้ตนอยู่ระหว่างการยุติบทบาทการทำหน้าผู้ว่าฯกทม. ดังนั้นจึงอยากให้นายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม.รักษาการผู้ว่าฯ กทม.เป็นผู้ชี้แจงประเด็นดังกล่าวแทน
ทั้งนี้ นายอภิรักษ์ เปิดเผยถึงกรณีรถดับเพลิงว่า ขณะนี้ตนยังไม่ได้รับหนังสือเรียกให้ไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาคดีจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง กทม.กับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แม้จะมีข่าวออกว่า คตส.จะส่งหนังสือมาถึงตนในวันนี้ ซึ่งตนก็รอหนังสือเรียกดังกล่าวอยู่เช่นกัน ทั้งนี้ หากมีหนังสือเรียกมาก็พร้อมที่จะเข้าไปชี้แจงทุกประเด็น เพราะที่ผ่านมาเตรียมข้อมูลไว้พร้อมแล้ว แต่ต้องดูข้อกล่าวหาที่ คตส.จะชี้มาด้วยเพื่อจะได้ชี้แจงให้ตรงประเด็น หากได้รับหนังสือเมื่อใดก็พร้อมจะแจ้งให้ทุกคนทราบ ทั้งนี้คาดว่าในการชี้แจงคงชี้แจงเพียงครั้งเดียว ส่วนในวันที่ 12 เม.ย.ซึ่งจะเป็นวันครบกำหนดการลากิจครั้งที่ 2 นั้น ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะกลับมาทำงานในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ตามเดิมในวันใด เพราะต้องรอให้กระบวนการเสร็จสิ้นก่อน
ด้าน นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ในฐานะที่ตนกำกับดูแลโครงการ ยืนยันว่าดำเนินการประมูลจัดซื้อรถบีอาร์ทีอย่างโปร่งใส ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-auction) ซึ่งการที่ผู้ร้องระบุว่าการจัดซื้อตัวรถแพงเกินจริงจากราคาตลาดคันละ 4 ล้านบาท แต่ กทม.จัดซื้อคันละ 7 ล้านบาทนั้น เชื่อว่า ผู้ร้องรับทราบข้อมูลในเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) ไม่ครบถ้วน เพราะในจำนวน 7 ล้านบาทนั้น ได้รวมค่าซ่อมบำรุงตัวรถเป็นเวลา 3 ปีด้วย ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรระหว่างการวิ่งให้บริการ ผู้จัดซื้อจะต้องรับภาระในการซ่อมบำรุงทั้งหมด ซึ่งหากดูสเปกรถบีอาร์ทีจะเห็นว่ามีคุณภาพมาตรฐานที่ดีกว่ารถโดยสารของ ขสมก.เพราะนำแบบรถมาจากอเมริกาและเกาหลี เป็นรถใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวี กำลังขับ 230 แรงม้า มีดิสก์เบรกล้อ มีจอแอลซีดีด้านหน้ารถด้วย
นายพนิช กล่าวว่า ที่ผ่านมา ในการเปิดประมูลครั้งแรกได้มีเอกชนมารับซองประมูลจำนวน 18 ราย แต่เมื่อถึงกำหนดเวลาเปิดซองกลับไม่มีเอกชนรายใดมายื่นซอง ซึ่งจากการสอบถามเหตุผลบริษัทส่วนใหญ่ระบุว่า ราคาที่ กทม.ตั้งไว้ต่ำเกินไปจึงไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ ทำให้ กทม.ต้องล้มการประมูลครั้งแรกไป และเปิดประมูลครั้งที่ 2 โดยใช้ TOR เดิมโดยไม่มีการเพิ่มราคากลาง เพราะราคาดังกล่าวเป็นราคาที่ได้มาจากกระทรวงการคลัง และเปรียบเทียบราคาจากการจัดซื้อรถขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) เรียบร้อยแล้ว เมื่อเปิดประมูลครั้งที่ 2 ก็มีเอกชนเข้ายื่นซอง 2 ราย ได้แก่ บริษัท เบสลินท์ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ปริญ อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต ซึ่งสุดท้ายบริษัท เบสลินท์ ชนะการประมูลด้วยวงเงินกว่า 370 ล้านบาท ในการจัดซื้อรถบีอาร์ทีจำนวน 45 คัน
รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการบีอาร์ที กทม.ตั้งใจอยากให้เสร็จตรงตามเป้าที่กำหนดไว้ ซึ่งครั้งแรกที่ต้องล้มประมูลก็เป็นห่วงมาก แต่วันนี้ก็ยืนยันเปิดวิ่งบริการในเดือน ส.ค.นี้ ทั้งนี้ในการออกมายื่นเรื่องกับดีเอสไอครั้งนี้ เชื่อว่า จะไม่ทำให้โครงการดังกล่าวต้องสะดุดหรือล่าช้าออกไปอีก แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้เป็นเพราะต้องการให้โครงการบีอาร์ทีของ กทม.ต้องล่าช้าหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีรถโครงการก็ไม่สามารถเดินหน้าได้ แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเล่นเกมการเมืองแสดงว่าผู้ร้องไม่ได้นึกถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งเลย
“ยอมรับว่า กทม.ซื้อแพง แต่ในสัญญานี้รวมราคาตัวรถ และค่าซ่อมบำรุงถึง 3 ปี ดังนั้น ผู้ร้องควรกลับไปดูรายละเอียด TOR ให้แน่นอนก่อน และอยากถามกลับไปว่าแพงตรงไหน ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่อยากมองเป็นประเด็นการเมือง เพราะช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในเดือน ก.ย.ซึ่งข่าวที่ออกมาเช่นนี้เป็นผลในเชิงลบกับ กทม.และคณะผู้บริหาร กทม.อยู่แล้ว และผมมั่นใจว่า คณะกรรมการทุกชุดที่เกี่ยวข้องกับโครงการบีอาร์ทีสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็น แต่ก็พร้อมที่จะให้มีการตรวจสอบแม้โครงการจะชะงักไปก็ตาม”รองผู้ว่าฯ กทม.ระบุ