กทม.เผย พ.ค.นี้ดูรถต้นแบบบีอาร์ทีที่เซี่ยงไฮ้ พร้อมเตรียมหาหรือ ผอ.ขสมก.ถกความคืบหน้าย้ายรถ ขสมก.หนีบีอาร์ที ขณะที่ปลายเดือน มี.ค.นี้เคาะราคาระบบขนส่งอัจฉริยะ เผยเสร็จสมบูรณ์ทุกอย่างปลายปีนี้ ด้าน “พนิช” บอกถ้า “สมัคร” เปลี่ยนใจไม่ซื้อรถไฟฟ้าจากบีทีเอสซี กทม.ก็ไม่ซื้อแต่ถ้าจะซื้อ กทม.สู้สุดใจ
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการก่อสร้างสถานีรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที สายช่องนนทรี-ราชพฤกษ์ ระยะทาง 15.9 กิโลเมตร ที่สถานี S10 เจริญราษฎร์ และสถานี S 5 นราราม 3 พร้อมกล่าวว่า สาเหตุที่สถานีดังกล่าวเสร็จล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ซึ่งขณะนี้ติดลบเป็นเวลา 4 วันแล้ว เนื่องจากได้มีการปรับเปลี่ยนแบบสถานีใหม่ให้สอดคล้องกับลักษณ์ทางกายภาพ และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนมากที่สุด โดยนับจากนี้ไป 15 วันจะสามารถเปิดให้ประชาชนสามารถใช้เป็นทางข้ามได้ ในส่วนการก่อสร้างสถานีอื่นๆ จะแล้วเสร็จทั้งหมดประมาณเดือน ก.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ปลายเดือน มี.ค.ตนจะลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าอีกครั้ง
สำหรับการจัดหาตัวรถโดยสารได้มีการเซ็นสัญญากับ บ.เบสท์ลิน กรุ๊ป จำกัด ไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมาจำนวน 45 คัน โดย 3 คันแรกจะจัดส่งภายใน 5 เดือน จากนั้นเดือนที่ 6 จัดส่งอีก 20 คัน เดือนที่ 7 จัดส่งที่เหลือ ทั้งนี้ เมื่อรถโดยสาร 3 คันแรกส่งถึง กทม.แล้วจะดำเนินการปิดช่องจราจร 1 ช่องทาง เพื่อจัดเตรียมสำหรับรถบีอาร์ทีที่จะทดลองวิ่งปลายเดือนกรกฎาคม หรือต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป เพื่อให้ส่งสัญญาณให้ประชาชนตื่นตัวที่จะมาใช้บริการ โดยจะเปิดให้ประชาชนใช้บริการฟรี 6 เดือนไปจนถึงเดือนมกราคม 2552 สำหรับประชาชนที่ห่วงจะมีปัญหาการจราจรเนื่องจากผิวจราจรหายไป 1 ช่อง ขอชี้แจงให้เข้าใจว่าช่องจราจรสำหรับรถบีอาร์ทีจะมีขนาด 3.20 เมตร และการปิดเลนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจราจรเพราะช่องจราจรจะเหลือเท่าเดิม คือ 4 เลน เพียงแต่ลดขนาดช่องจราจรจากเดิม 3.50 เมตร เป็น 3 เมตร
นอกจากนี้ ในส่วนการวิ่งทับเส้นทางกับรถโดยสารของ ขสมก.และรถร่วมบริการฯ นั้น ภายใน 1 เดือน ตนจะเข้าหารือร่วมกับผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพื่อขอรับทราบความคืบหน้าการปรับเส้นทาง ซึ่งคาดว่าจะมีรถเมล์ 1-2 สายที่จะวิ่งให้บริการในแนวเส้นทางเดียวกัน ที่เหลือจะปรับให้เป็นระบบ Feeder ส่งต่อผู้โดยสารเข้าระบบกับรถบีอาร์ที กทม.
ส่วนการจัดหาระบบขนส่งอัจฉริยะ (ITS) ขณะนี้ได้มีเอกชนสนใจยื่นเอกสาร 6-7 ราย โดยจะประกวดราคาภายในสิ้นเดือนนี้ และเมื่อจัดหาผู้รับเหมาได้จะใช้เวลาดำเนินการติดตั้ง 240 วัน สำหรับ Land Mark บริเวณจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี และสถานีบีทีเอสช่องนนทรีนั้นจะเสร็จสมบูรณ์ในปลายปีนี้ โดยใช้เงินในการก่อสร้างเกือบ 100 ล้านบาท เพื่อให้เป็นลานอเนกประสงค์ที่ทันสมัยสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตาม โครงการรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ทีจะเสร็จสมบูรณ์อย่างเต็มที่ ในปลายปี 2551
นายพนิช ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกัฐมนตรี เสนอแนวทางจะซื้อรถไฟฟ้าบีทีเอสคืนจากบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอสซี) รวมทั้งส่วนต่อขยายสายสีเขียวที่ กทม.ดำเนินการว่า หากรัฐบาลต้องการที่จะซื้อคืนจากบีทีเอสซีจริง กทม.ก็จะเข้าไปเจรจากับทางบีทีเอสซีเพื่อขอซื้อคืนด้วยเช่นกันในฐานะที่ กทม.เป็นคู่สัญญาสัมปทาน แต่หากนายสมัครเลิกล้มแนวคิด กทม.ก็จะล้มเลิกด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ หน้าที่การแก้ปัญหาจราจรเป็นหน้าที่ที่ กทม.จะต้องดูแล ยกเว้นรัฐบาลมีเงินเหลือมากเพราะจะต้องใช้เงินซื้อคืนกว่า 6 หมื่นล้าน ซึ่งถ้าหากมีจริงคงไม่จำเป็นที่จะต้องไปขอกู้เจบิก อีกทั้งเงิน 6 หมื่นล้านนำมาซื้อกิจการรถไฟฟ้าคืนมันไม่ได้ทำให้เส้นทางประชาชนเพิ่มขึ้นแต่อย่างเดียว สู้เอาไปลงทุนทำส่วนต่อขยายหรือลงทุนทำรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นต่อดีกว่า
ด้าน นายอรวิทย์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการสำนักงานวิศวกรรมจราจร สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กล่าวว่า สำหรับแบบของรถบีอาร์ทีนั้นคงไม่หลากหลายเพราะทาง กทม.ได้เขียน TOR ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสัปดาห์หน้าทางบริษัท เบสท์ลิน จะส่งแบบมาให้ กทม.พิจารณา จากนั้นประมาณต้นเดือนพฤษภาคม กทม.จะจัดส่งคณะกรรมการไปดูรถต้นแบบที่เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกับไปตรวจสอบโรงงานการผลิต และไลน์การผลิตก่อนที่จะมีการประกอบจริงทั้งหมด
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการก่อสร้างสถานีรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ที สายช่องนนทรี-ราชพฤกษ์ ระยะทาง 15.9 กิโลเมตร ที่สถานี S10 เจริญราษฎร์ และสถานี S 5 นราราม 3 พร้อมกล่าวว่า สาเหตุที่สถานีดังกล่าวเสร็จล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ซึ่งขณะนี้ติดลบเป็นเวลา 4 วันแล้ว เนื่องจากได้มีการปรับเปลี่ยนแบบสถานีใหม่ให้สอดคล้องกับลักษณ์ทางกายภาพ และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนมากที่สุด โดยนับจากนี้ไป 15 วันจะสามารถเปิดให้ประชาชนสามารถใช้เป็นทางข้ามได้ ในส่วนการก่อสร้างสถานีอื่นๆ จะแล้วเสร็จทั้งหมดประมาณเดือน ก.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ปลายเดือน มี.ค.ตนจะลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าอีกครั้ง
สำหรับการจัดหาตัวรถโดยสารได้มีการเซ็นสัญญากับ บ.เบสท์ลิน กรุ๊ป จำกัด ไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมาจำนวน 45 คัน โดย 3 คันแรกจะจัดส่งภายใน 5 เดือน จากนั้นเดือนที่ 6 จัดส่งอีก 20 คัน เดือนที่ 7 จัดส่งที่เหลือ ทั้งนี้ เมื่อรถโดยสาร 3 คันแรกส่งถึง กทม.แล้วจะดำเนินการปิดช่องจราจร 1 ช่องทาง เพื่อจัดเตรียมสำหรับรถบีอาร์ทีที่จะทดลองวิ่งปลายเดือนกรกฎาคม หรือต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป เพื่อให้ส่งสัญญาณให้ประชาชนตื่นตัวที่จะมาใช้บริการ โดยจะเปิดให้ประชาชนใช้บริการฟรี 6 เดือนไปจนถึงเดือนมกราคม 2552 สำหรับประชาชนที่ห่วงจะมีปัญหาการจราจรเนื่องจากผิวจราจรหายไป 1 ช่อง ขอชี้แจงให้เข้าใจว่าช่องจราจรสำหรับรถบีอาร์ทีจะมีขนาด 3.20 เมตร และการปิดเลนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจราจรเพราะช่องจราจรจะเหลือเท่าเดิม คือ 4 เลน เพียงแต่ลดขนาดช่องจราจรจากเดิม 3.50 เมตร เป็น 3 เมตร
นอกจากนี้ ในส่วนการวิ่งทับเส้นทางกับรถโดยสารของ ขสมก.และรถร่วมบริการฯ นั้น ภายใน 1 เดือน ตนจะเข้าหารือร่วมกับผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพื่อขอรับทราบความคืบหน้าการปรับเส้นทาง ซึ่งคาดว่าจะมีรถเมล์ 1-2 สายที่จะวิ่งให้บริการในแนวเส้นทางเดียวกัน ที่เหลือจะปรับให้เป็นระบบ Feeder ส่งต่อผู้โดยสารเข้าระบบกับรถบีอาร์ที กทม.
ส่วนการจัดหาระบบขนส่งอัจฉริยะ (ITS) ขณะนี้ได้มีเอกชนสนใจยื่นเอกสาร 6-7 ราย โดยจะประกวดราคาภายในสิ้นเดือนนี้ และเมื่อจัดหาผู้รับเหมาได้จะใช้เวลาดำเนินการติดตั้ง 240 วัน สำหรับ Land Mark บริเวณจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี และสถานีบีทีเอสช่องนนทรีนั้นจะเสร็จสมบูรณ์ในปลายปีนี้ โดยใช้เงินในการก่อสร้างเกือบ 100 ล้านบาท เพื่อให้เป็นลานอเนกประสงค์ที่ทันสมัยสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตาม โครงการรถเมล์ด่วนพิเศษบีอาร์ทีจะเสร็จสมบูรณ์อย่างเต็มที่ ในปลายปี 2551
นายพนิช ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกัฐมนตรี เสนอแนวทางจะซื้อรถไฟฟ้าบีทีเอสคืนจากบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอสซี) รวมทั้งส่วนต่อขยายสายสีเขียวที่ กทม.ดำเนินการว่า หากรัฐบาลต้องการที่จะซื้อคืนจากบีทีเอสซีจริง กทม.ก็จะเข้าไปเจรจากับทางบีทีเอสซีเพื่อขอซื้อคืนด้วยเช่นกันในฐานะที่ กทม.เป็นคู่สัญญาสัมปทาน แต่หากนายสมัครเลิกล้มแนวคิด กทม.ก็จะล้มเลิกด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ หน้าที่การแก้ปัญหาจราจรเป็นหน้าที่ที่ กทม.จะต้องดูแล ยกเว้นรัฐบาลมีเงินเหลือมากเพราะจะต้องใช้เงินซื้อคืนกว่า 6 หมื่นล้าน ซึ่งถ้าหากมีจริงคงไม่จำเป็นที่จะต้องไปขอกู้เจบิก อีกทั้งเงิน 6 หมื่นล้านนำมาซื้อกิจการรถไฟฟ้าคืนมันไม่ได้ทำให้เส้นทางประชาชนเพิ่มขึ้นแต่อย่างเดียว สู้เอาไปลงทุนทำส่วนต่อขยายหรือลงทุนทำรถไฟฟ้าเส้นทางอื่นต่อดีกว่า
ด้าน นายอรวิทย์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการสำนักงานวิศวกรรมจราจร สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กล่าวว่า สำหรับแบบของรถบีอาร์ทีนั้นคงไม่หลากหลายเพราะทาง กทม.ได้เขียน TOR ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสัปดาห์หน้าทางบริษัท เบสท์ลิน จะส่งแบบมาให้ กทม.พิจารณา จากนั้นประมาณต้นเดือนพฤษภาคม กทม.จะจัดส่งคณะกรรมการไปดูรถต้นแบบที่เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกับไปตรวจสอบโรงงานการผลิต และไลน์การผลิตก่อนที่จะมีการประกอบจริงทั้งหมด
