ผอ.วิทยาลัยชุมชนเร่งร่าง พ.ร.บ.วิทยาลัยชุมชนเสนอ สกอ.ระบุชัดให้เป็นสถาบันการศึกษาของรัฐบาล แต่ต้องคล่องตัว โดย วชช.แห่งไหนพร้อมจึงให้เป็นนิติบุคคล เชื่อสามารถร่างกฎหมายและทำประชาพิจารณ์ได้ทันเปิดประชุมสภาฯ เดือนสิงหาคมนี้ ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดถ่ายโอน วชช.ให้กับท้องถิ่น
น.ส.สุนันทา แสงทอง ผู้อำนวยการสำนักวิทยาลัยชุมชน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 33 ให้รัฐบาลปรับปรุงกฎหมายให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภานั้น ขณะนี้วิทยาลัยชุมชนกำลังเร่งยกร่าง พ.ร.บ.วิทยาลัยชุมชน ซึ่งจากการหารือในเบื้องต้นได้ข้อยุติชัดเจนแล้วว่า จะให้วิทยาลัยชุมชนเป็นสถาบันการศึกษาของราชการ แต่มีความคล่องตัวสามารถบริหารจัดการตามหลักการของวิทยาลัยชุมชนได้ และเมื่อวิทยาลัยแห่งใดมีความพร้อมก็จะออกเป็นพระราชกฤษฎีกาให้เป็นนิติบุคคลเฉพาะราย ทั้งนี้ เพื่อฟูมฟักให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน ขณะเดียวกัน ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาจัดทำสาระรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว และจะมีการนำเสนอต่อ นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เพื่อพิจารณาในเร็วๆ นี้
“นายสุเมธได้ให้ความสำคัญกับวิทยาลัยชุมชนมาก ซึ่งทางคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้กำหนดให้วิทยาลัยชุมชนเป็น 1 ใน 4 ของอุดมศึกษาที่อยู่ในแผนอุดมศึกษา 15 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการยกร่าง พ.ร.บ.วิทยาลัยชุมชนแล้วเสร็จก็จะนำไปประชาพิจารณ์ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม โดยคาดว่าการจัดทำร่างรายละเอียดภายในเดือนมีนาคมนี้ และสามารถเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรทันเปิดประชุมสมัยสามัญวันที่ 1 สิงหาคมนี้” น.ส.สุนันทา กล่าว
ผอ.วิทยาลัยชุมชน กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้มีเสียงสะท้อนเข้ามามากทั้งจากกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชน และสมาคมวิทยาลัยชุมชนหลายแห่งว่า การบริหารจัดการการเงินไม่มีความคล่องตัว เนื่องจากไม่มี พ.ร.บ.เป็นของตนเอง ต้องไปอิงกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ในขณะที่การดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชนต้องการความคล่องตัว เนื่องจากเราทำงานกับชุมชนจริงๆ ดังนั้นเมื่อวิทยาลัยชุมชนมีกฎหมายเป็นของตนเอง ก็จะทำให้การบริหารงานคล่องตัวและสะดวกยิ่งขึ้น
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการถ่ายโอนวิทยาลัยชุมชนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) น.ส.สุนันทา กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีความพยายามยัดเยียดแนวคิดในการถ่ายโอนวิทยาลัยชุมชนไปสังกัด อปท. แต่บริหารวิทยาลัยชุมชน รวมทั้งกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนที่เป็นผู้แทนของท้องถิ่นก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากวิทยาลัยชุมชนในปัจจุบันก็มีสถานะเท่าเทียมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งต่างก็เป็นหน่วยงานหนึ่งในจังหวัด แต่หากวิทยาลัยชุมชนถ่ายโอนไปอยู่กับท้องถิ่นก็เท่ากับอยู่ภายใต้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้การเมืองครอบงำและปรัชญาการจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนก็จะเบี่ยงเบนไป
น.ส.สุนันทา แสงทอง ผู้อำนวยการสำนักวิทยาลัยชุมชน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 33 ให้รัฐบาลปรับปรุงกฎหมายให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภานั้น ขณะนี้วิทยาลัยชุมชนกำลังเร่งยกร่าง พ.ร.บ.วิทยาลัยชุมชน ซึ่งจากการหารือในเบื้องต้นได้ข้อยุติชัดเจนแล้วว่า จะให้วิทยาลัยชุมชนเป็นสถาบันการศึกษาของราชการ แต่มีความคล่องตัวสามารถบริหารจัดการตามหลักการของวิทยาลัยชุมชนได้ และเมื่อวิทยาลัยแห่งใดมีความพร้อมก็จะออกเป็นพระราชกฤษฎีกาให้เป็นนิติบุคคลเฉพาะราย ทั้งนี้ เพื่อฟูมฟักให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน ขณะเดียวกัน ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาจัดทำสาระรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว และจะมีการนำเสนอต่อ นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เพื่อพิจารณาในเร็วๆ นี้
“นายสุเมธได้ให้ความสำคัญกับวิทยาลัยชุมชนมาก ซึ่งทางคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้กำหนดให้วิทยาลัยชุมชนเป็น 1 ใน 4 ของอุดมศึกษาที่อยู่ในแผนอุดมศึกษา 15 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการยกร่าง พ.ร.บ.วิทยาลัยชุมชนแล้วเสร็จก็จะนำไปประชาพิจารณ์ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม โดยคาดว่าการจัดทำร่างรายละเอียดภายในเดือนมีนาคมนี้ และสามารถเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรทันเปิดประชุมสมัยสามัญวันที่ 1 สิงหาคมนี้” น.ส.สุนันทา กล่าว
ผอ.วิทยาลัยชุมชน กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้มีเสียงสะท้อนเข้ามามากทั้งจากกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชน และสมาคมวิทยาลัยชุมชนหลายแห่งว่า การบริหารจัดการการเงินไม่มีความคล่องตัว เนื่องจากไม่มี พ.ร.บ.เป็นของตนเอง ต้องไปอิงกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ในขณะที่การดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชนต้องการความคล่องตัว เนื่องจากเราทำงานกับชุมชนจริงๆ ดังนั้นเมื่อวิทยาลัยชุมชนมีกฎหมายเป็นของตนเอง ก็จะทำให้การบริหารงานคล่องตัวและสะดวกยิ่งขึ้น
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการถ่ายโอนวิทยาลัยชุมชนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) น.ส.สุนันทา กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีความพยายามยัดเยียดแนวคิดในการถ่ายโอนวิทยาลัยชุมชนไปสังกัด อปท. แต่บริหารวิทยาลัยชุมชน รวมทั้งกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนที่เป็นผู้แทนของท้องถิ่นก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากวิทยาลัยชุมชนในปัจจุบันก็มีสถานะเท่าเทียมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งต่างก็เป็นหน่วยงานหนึ่งในจังหวัด แต่หากวิทยาลัยชุมชนถ่ายโอนไปอยู่กับท้องถิ่นก็เท่ากับอยู่ภายใต้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้การเมืองครอบงำและปรัชญาการจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนก็จะเบี่ยงเบนไป
