“อดีตผู้ว่าฯ หญิง” ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ แฉสมัย “แม้ว” มีอำนาจพยายามออกกฎหมาย “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” หวังใช้ตามอำเภอใจ ชี้กฎหมายนี้อันตรายมาก เนื่องจากให้อำนาจผู้เป็นนายกฯ เพียงผู้เดียว พร้อมย้ำเตือนข้าราชการประจำ อย่าเผลอตกเป็นเครื่องมือ ให้นึกถึงศักดิ์ศรีเป็นหลัก
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นางนิพัทธา อมรรัตนเมธา ปราศรัย
วันนี้ (19 ก.ค.) เมื่อเวลา 18.45 น. นางนิพัทธา อมรรัตนเมธา อดีต ส.ว. และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา และปทุมธานี ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดย เชิงสะพานมัฆวานฯ กล่าวว่า ที่ใครๆ บอกว่ารัฐบาลเป็นขิงแก่นั้น ในความคิดของตนคิดว่าน่าจะเป็นขิงฝ่อมากกว่า ตนเชื่อว่าตอนนี้ไม่มีกฎหมายใดที่จะช่วยชาติในเวลานี้ ซึ่งในความคิดของตนนั้นเชื่อว่า สิ่งที่ช่วยชาติในเวลานี้นั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 กรณี คือ กรณีแรกเป็นบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯที่จะคุ้มเกล้าเราได้
นางนิพัทธา กล่าวต่อว่า กรณีที่ 2 คือ อิทธิฤทธิ์ขององค์พระสยามเทวาทิราชเจ้า ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ได้รู้เรื่องชั่วเหล่านี้ ที่นับวันค่อยๆ ออกมามากมาย ต่อไปกรณีที่ 3 คือระบอบตุลาการ ศาสสถิตยุติธรรมของไทยเรา ที่พระเจ้าอยู่หัวฯทรงย้ำว่าควรจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดี ตามหน้าที่ของตัวเองและให้ได้เหมือนกับที่ได้ปฏิญาณตนเอาไว้ กรณีสุดท้าย คือพวกพันธมิตรฯ ซึ่งตนเชื่อว่า ความรู้สึกของพวกเราทุกคนที่มารวมอยู่ที่นี่นั้น เป็นความบริสุทธิ์
นางนิพัทธา กล่าวว่า อย่างกรณีที่ 3 เรื่องระบอบตุลาการศาสสถิตยุติธรรมนั้น ตนเชื่อว่ากฎหมายอย่างไรก็คือคือกฎหมาย การที่นายกฯของเราบอกว่าจะแก้กฎหมาย โดยออกมาบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนไว้ไม่ดี จึงต้องมีการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญดังกล่าวนั้น ถือเป็นข้ออ้าง เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อแก้รัฐธรรมนูญแล้วยังจะต้องไปแก้อำนาจตุลาการ โดยอ้างว่าตุลาการนั้นมีอำนาจมากเกินไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลมาจาก เงินจากถุงขนม 2 ล้าน ที่ทำไม่สำเร็จผล
“ในสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมีความพยายามที่จะออกกฎหมายมากมาย เพื่อเอื้อประโยชน์และเลี่ยงความผิด อย่างดคีที่กลัวมากสุด คือ คดีเอสซีแอสเสท ที่ต้องติดคุกถึง 10 ปี หากเทียบกับคดีที่ดินรัชดาที่ติดคุกเพียง 2 ปี ซึ่งทุกอย่างนั้นได้ถูกวางแผนไว้หมด” นางนิพัทธากล่าว
นางนิพัทธา กล่าวต่อว่า กฎหมายที่พยายามจะออกมา คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายกฎหมายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้คิดเอาไว้ โดยกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ จะให้อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ตัวนายกฯเพียงผู้เดียว พูดง่ายๆ คือ นายกรัฐมนตรีใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีสิทธิที่จะชี้ให้พื้นที่ไหนเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษได้ สามารถให้ชาวต่างชาติเข้าประกอบธุรกิจในประเทศได้ เหมือนเป็นการขายชาติทางอ้อม ซึ่งกฎหมายนี้ไม่ต้องทำประชาพิจารณ์ และไม่ต้องผ่านรัฐสภา เพียงแต่แจ้งให้ทราบเท่านั้นก็สามารถทำได้เลย
“เหมือนเป็นการร่างกฎหมายขึ้นมาใช้เอง สามารถจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ทำตามใจชอบ ทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งจะขายที่ดินให้กับต่างประเทศสามารถก็ทำได้ ยกเว้นหรือเลี่ยงภาษีได้ทุกอย่าง นี่จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว ซึ่งอันตรายมาก” นางนิพัทธากล่าว
ตอนท้าย นางนิพัทธาได้ฝากถึงข้าราชการประจำว่า อย่าตกเป็นเครื่องมือของคนชั่ว ขอให้เป็นคนดี ให้ใช้สติสัมปชัญญะในการแก้ไขปัญหาต่างๆ และต้องยืนหยัดถึงศักดิ์ศรีของข้าราชการประจำเอาไว้
