เมืองไทย 360 องศา
ไม่รู้ว่าประเมินสถานการณ์กันแบบไหน มีการหยั่งอารมณ์สังคมแบบไหน ถึงได้แสดงความเห็นแบบนั้นออกมา ใช่แล้วกำลังพูดถึง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ที่เสนอความเห็นในลักษณะที่ “สวนอารมณ์” คนไทยเกือบทั้งหมดที่ต้องการให้ทหารไทยจัดการขั้นเด็ดขาดกับกัมพูชาแบบเอาให้จบจะได้ไม่ต้องมีปัญหากวนใจกันทีหลัง แต่เขาดันเสนอให้ตั้งโต๊ะเจรจา แถมยังเหน็บกองทัพตามสไตล์พรรคส้ม แบบนี้ก็อย่าได้แปลกใจที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” กันอย่างขนานใหญ่
ก่อนหน้านี้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ประเมินสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าสิ่งสำคัญคือการตั้งโจทย์ให้ตรงกันว่าการจบของเรื่องนี้จะไปอยู่ที่ตรงไหน จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ประชาชน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ทหารเกิดความสูญเสีย และทุกคนก็รู้สึกเสียใจ และเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น อยากให้สถานการณ์จบโดยเร็ว แต่ต้องตั้งธงให้ชัดว่าคำว่าจบจะไปจบที่ตรงไหน แต่สำหรับตนการที่อยากให้สถานการณ์จบลง คือ การคืนความปกติสุขให้กับชีวิตและความเป็นอยู่ให้กับประชาชนคนไทยตามพื้นที่จังหวัดแนวชายแดน อย่างการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ณัฐ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาค 2 ที่ออกมาระบุว่า ไม่มีการรบใดไม่จบที่การเจรจา เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ตนอยากได้ยินจากรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอนนี้ก็คือต้องแสดงออกถึงทิศทางในการบริหารสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน
นายณัฐพงษ์ ยังมองว่า การใช้กำลังทางการทหารในการตอบโต้สามารถทำได้ ตอบโต้อย่างเต็มกำลังเพื่อทำลายศักยภาพและขีดความสามารถของกำลังทางทหารกัมพูชา แต่ต้องเป็นไปตามหลักสากล และกฎการใช้กำลัง รวมไปถึงความได้สัดส่วน เพื่อปกป้องอธิปไตย ปกป้องชีวิตทรัพย์สินของประชาชน แต่การดำเนินการทุกอย่างเหล่านั้นต้องไม่ให้ประเทศไทยตกอยู่ในฐานะผู้รุกรานกัมพูชา แต่ต้องอยู่ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีกองทัพที่เข้มแข็งกว่า และใช้ในการป้องกันตนเอง และสิ่งสำคัญคือต้องกดดันกัมพูชาในทุกแนวรบ ทางด้านการทหาร การพูดการข่าวสาร การปราบปรามสแกมเมอร์เพื่อกดดันกัมพูชา โดยพุ่งเป้าไปที่หัวใจ คือ ระบอบฮุนเซน เพื่อบีบให้เขายอมกลับเข้าสู่โต๊ะการเจรจาของเราให้ได้
ผู้นำฝ่ายค้าน ระบุว่า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ได้สื่อสารไปยังนายกรัฐมนตรีหลายครั้ง ซึ่งได้แสดงความเป็นห่วง และเตือนไปยังนายกรัฐมนตรี ว่า การสื่อสารในลักษณะเช่นนี้ อาจทำให้เกิดความกังวลใจต่อนานาชาติ เมื่อไหร่ก็ตามที่ภาพลักษณ์ของประเทศไทย ตกอยู่ในฐานะผู้รุกรานประเทศกัมพูชาก่อน ก็จะทำให้เราขาดความชอบธรรมในการแก้ไขปัญหา พร้อมย้ำว่าสิ่งหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีจำเป็นคือการแสดงท่าที แต่เราแสดงความเข้มแข็งได้ และสามารถโต้ตอบได้อย่างเต็มที่เพื่อขจัดภัยความมั่นคง และสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในเฉพาะหน้า เพราะฉะนั้นการตอบโต้ด้วยกำลังทางการทหาร ที่มียุทธศาสตร์พุ่งเป้าไปที่ขีดความสามารถกองทัพกัมพูชา ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่พลเรือนกัมพูชา ตนเชื่อว่าทางฝั่งยุทธการ และฝังความมั่นคงสามารถทำได้ตามหลัก กติกาสากล แต่การที่นายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่าปิดตัวเจรจาทุกช่องทาง ต่อไปนี้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ โดยไม่รู้ว่าจุดจบจะไปอยู่ที่ตรงไหนคือสิ่งที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้
“หากไม่มีการลดระดับสถานการณ์การปะทะตามแนวชายแดน ปล่อยให้มีการลุกลามบานปลายไปเรื่อยๆ ยังไม่เห็นว่าจุดจบจะอยู่ตรงไหน ผมก็ยังไม่เห็นว่าทางออกจะอยู่ตรงไหน และย้ำว่า ธงที่ทุกคนต้องการ คือ อยากให้สงบและจบกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ และมีการตั้งคำถามว่าเมื่อฝั่งกัมพูชาไม่เคยให้ความจริงใจในการเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างที่เราแสดงความจริงใจ วิธีที่เราต้องทำ คือ บีบบังคับทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังในการตัดขีดความสามารถ เพื่อไม่ให้สามารถโจมตีไทยได้อีก หรือพุ่งเป้าไปที่สแกมเมอร์ ใช้โลกล้อมกัมพูชา เพื่อให้ไทยคงสถานะความได้เปรียบ ก็จะเป็นการทำให้ประเทศมหาอำนาจรวมถึงทั่วโลกล้อมกัมพูชา ไม่ใช่ไทยเป็นผู้ถูกล้อมด้วยสายตาว่าใครเป็นผู้รุกราน”
แน่นอนว่าพิจารณาจากคำพูดดังกล่าว อาจฟังดูดี มีหลักการแบบสากล หรือตรงๆก็คือ “โลกสวย” นั่นแหละ และที่สำคัญคำพูดหรือข้อเสนอแนะข้างต้นนั้นเกือบทั้งหมดทางกองทัพเขาดำเนินการอยู่แล้ว และทุกคนก็รู้ดีว่าในที่สุดทุกสงครามมันก็ต้องจบลงที่การตั้งโต๊ะเจรจา แล้วแต่ว่าจะเจรจาในภาวการณ์แบบไหนต่างหาก รวมไปถึงการพ่ายแพ้ยอมจำนนก็คือการเจรจาเหมือนกัน
อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าสังเกตก็คือสำหรับคนของพรรคการเมืองนี้ คือพรรคประชาชนที่มักทำอยู่เสมอก็คือการ “ประดิดประดอย”คำพูด หรือแบบที่เรียกว่าคำพูดให้ “ดูหล่อ” อยู่เสมอ แต่ที่สำคัญก็คือมักไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่พิจารณาอารมณ์ของสังคมว่าเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนแล้ว เหมือนกับเวลานี้ที่อารมณ์ของคนไทยเป็น “หนึ่งเดียว” คือให้ “รบกับเขมร” นั่นคือเอาให้เต็มเหนี่ยวด้วยซ้ำ ถึงขนาดเสนอแบบสุดโต่งให้ลุยถึงพนมเปญ ซึ่งคงยังไม่ถึงขนาดนั้น การรบคงอยู่แค่ชายแดน และทวงคืนพื้นที่ที่ถูกครอบครองมานานกลับมาให้ได้เท่านั้นเอง
แม้ว่าคำพูดของ นายณัฐพงษ์ ในเบื้องต้นอาจฟังดูดี มีหลักการแบบสากล และพยายามแสดงภูมิความรู้ออกมาก็ตาม แต่ความหมายที่ต้องการสื่อออกมาทำนองให้ “รบแบบมีอารยะ” อย่าให้โลกติฉินอะไรประมาณนั้น แต่นั่นมันเป็นแค่ในนิยาย ในโลกนี้ไม่มีอยู่จริง และยิ่งพูดเรื่อง “เจรจา” ในท่ามกลางอารมณ์เดือดแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้เกิดผลตามมาที่พอคาดเดาได้ นั่นคือถูกรุมด่ากันทั้งประเทศ
อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันอย่างเข้าใจในมุมของ นายณัฐพงษ์ ที่ต้องแบกเอาความหวังของบรรดา “ด้อม” ทั้งหลาย และยิ่งในการเลือกตั้งคราวหน้า ที่กำลังจะมาถึง มาเร็ว ยิ่งสร้างความ “กดดัน” มากขึ้นเรื่อยๆ การที่ประกาศว่าต้องเป็นรัฐบาลพรรคเดียว และกวาด ส.ส.มากกว่า 250 ที่นั่ง แม้จะรู้ว่ามันเกินจริงไปไกลมาก เพราะเมื่อพิจารณาจากกระแสแล้ว ทั้งความนิยมในตัวเขา และพรรค มันไม่ได้ “ฟีเวอร์” ขนาดนั้น ผลสำรวจที่ออกมาทุกครั้ง แม้ว่าจะมาที่หนึ่ง ที่สอง แต่หากกระแสยังติดดินแบบนี้คงไม่มีทางไปถึง เหมือนกับที่คาดการณ์กันไว้ว่าตัวเลขน่าจะแค่ “ร้อยเศษ” เท่านั้น
การออกมาแสดงความเห็นแบบนี้ส่วนหนึ่งเป็นเจตนา “โชว์ภูมิ” และแน่นอนว่ามีการครุ่นคิดมาล่วงหน้าอย่างดีแล้ว ต้องการสร้างวาทะแบบ “ผู้นำยุคใหม่” แต่กลายเป็นว่า มันสวนกระแส สวนทางสังคม ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ามีการหารือกันภายในก่อนหรือไม่ ก่อนที่จะแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา เพราะมันยิ่งสร้างผลกระทบในทางลบอีกครั้ง เหมือนกับเวลานี้ที่เป็นช่วงจังหวะสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคประชาชนกำลังลุ้นสุดตัวให้ผ่านวาระสามให้ได้ เรื่องนี้ก็เป็นอีกสังคมมีความเห็นวิจารณ์กันในทางลบ แบบว่าไม่ดูจังหวะเวลา ไม่ดูอารมณ์ชาวบ้านว่าต้องการแบบไหน ถึงได้บอกว่า “พูดผิดคิดผิดชีวิตเปลี่ยน” จริงๆ !!


