เมืองไทย 360 องศา
เห็นว่า วันที่ 22 ธันวาคมนี้ จะครบ 120 วันที่นายทักษิณ ชินวัตร มาอยู่ที่ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยอ้างว่าป่วยต้องมารักษาอาการที่นั่น แต่จนถึงบัดนี้ก็ไม่มีการเปิดเผยอาการให้รู้ว่าเขาป่วยด้วยโรคอะไรกันแน่ และด้วยเวลานาน 4 เดือน แล้ว ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลถือว่า มี “อาการน่าเป็นห่วง” เพราะมีน้อยคนนักที่จะอยู่รักษาตัวได้นานขนาดนั้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยอาการให้ทราบ หรือจะเป็นแบบ “ปกปิด” ก็ตาม แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็รับรู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เพราะภาพลักษณ์ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่มีสถานะเป็น “นักโทษเด็ดขาดชาย” ที่เคยถูกจำคุกในคดีทุจริตเป็นเวลา 8 ปี แต่ได้รับการอภัยโทษลดเหลือจำคุกแค่ 1 ปี แต่ที่ผ่านมา นับตั้งแต่เขาเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็ยังถือว่ายังไม่เคยถูกคุมขังสักวันเดียว เพราะมีการนำออกมาที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันนั้นโดยอ้างว่าป่วย และนอนพักอยู่ที่นั่น นับตั้งแต่นั้นมา
ขณะเดียวกันเมื่อเวลายิ่งเนิ่นนานไป สภาพของ “เทวดา” เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าคำพูดที่ว่า “คนไม่เท่ากัน” มันมีอยู่จริง และยิ่งตอกย้ำให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นว่ายิ่งพูดเรื่องความไม่เท่าเทียม คนก็หันหน้าไปทางโรงพยาบาลตำรวจทันที เพื่อให้เห็นภาพของ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวอย่างตำตา
เชื่อหรือไม่ว่ากรณีของ นายทักษิณ ยิ่งนานไป กลับยิ่งทำให้เกิดแรงกดดันให้กับทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย และ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค รวมไปถึง แม้แต่ตัวของ นายทักษิณ เอง เพราะการที่นอนรักษาอาการในโรงพยาบาลนานเกิน 100 วัน มันกลายเป็นเรื่อง “น่าเกลียด” มากในสายตาประชาชน ไม่เชื่อก็ลองสอบถามคนทั่วไปพิสูจน์กันดูก็ได้ว่า เชื่อหรือไม่ว่า นายทักษิณ ป่วยจริงจนต้องรักษาอาการในโรงพยาบาลนานแบบนั้น หรือ เป็นเพราะสาเหตุอื่น หรือเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคุมขังในเรือนจำ เป็นเรื่องของ “อภิสิทธิ์ชน” หรือไม่
อารมณ์ความรู้สึกดังกล่าวหากพิสูจน์กันออกมาให้เห็น ก็ให้ลองเข้าไปสำรวจใน “โลกโซเชียล” จะเห็นว่ามีแต่เสียง “ก่นด่า เหยียดหยาม เหน็บแนม” จนแทบไม่มีบรรดาสาวกหรือผู้สนับสนุนออกมาปกป้อง อาจเป็นเพราะจำนนต่อความจริง ไม่มีเหตุผลมาอธิบายได้เลย มันก็กลายเป็นแรงกดดัน พุ่งกลับมาที่เจ้าตัว ครอบครัว พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ในที่สุด
กลายเป็นว่าเวลานี้ ขยับไปไหนก็ลำบาก เพราะสังคมเข้าจับทาง ดักทางเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่ล่าสุด กรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่จู่ๆ มาลาพักร้อน 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 19-22 ธันวาคมนี้ ทั้งที่เคยประกาศว่าจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอด 24 ชั่วโมง แต่เวลาผ่านมาแค่สามเดือนกว่าเท่านั้น ก็ลาพักร้อนเสียแล้ว ทั้งที่จะว่าไปแล้วสามารถลาพักได้อยู่แล้ว แต่ในกรณีนี้มันมี “พิรุธ” หลายอย่าง เป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันระหว่าง “ก่อนครบ 120 วัน” กับ “ครบ 120 วัน” ของการ “สถิตนอกเรือนจำ” ของนายทักษิณ ชินวัตร และเชื่อมโยงกับ “ระเบียบใหม่ของกรมราชทัณฑ์” ที่เพิ่งประกาศออกมารองรับเมื่อไม่กี่วันก่อนแบบ “โป๊ะเชะ” กันเลยทีเดียว
มีหลายคนฟันธงมาก่อนหน้านี้แล้ว นายทักษิณ ชินวัตร จะถูกปล่อยตัวออกมาฉลองปีใหม่กับครอบครัวที่บ้านจันทร์ส่องหล้า อย่างแน่นอน ซึ่งกำหนดวันก็ตรงกับ “ช่วงวันที่ 19-22 ธันวาคม” นี้พอดี เรียกว่าทุกอย่าง “วางพล็อตเรื่อง” เอาไว้แล้ว โดยเฉพาะ นายเศรษฐา ทวีสิน ที่จู่ๆ ก็มารู้สึกเหนื่อย หรือมีธุระปะปัง จำเป็นต้องอยู่กับครอบครัวอย่างกระทันหันพอดี หรือว่าเจตนาต้องการเลี่ยงการรับรู้ การรับรายงานจากกรมราชทัณฑ์ในเรื่องการปล่อยตัว นายทักษิณ กลับบ้าน หรือเปล่า
แน่นอนว่า หากมีการปล่อยตัว นายทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านในช่วงเวลาดังกล่าวรับรองว่า ต้องเกิดปฏิกิริยาความไม่พอใจของสังคมพุ่งสูงแน่ อาจก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมเหนือความคาดหมายก็ได้
เวลานี้หากสำรวจปฏิกิริยาจากสังคมภายนอกเริ่มมีการเคลื่อนไหวต่อต้าน รวมทั้งมีอารมณ์ความรู้สึกในทางลบต่อ นายทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงส่งผลกระทบต่อรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งใกล้ครบกำหนด 120 วัน มากเท่าไร ก็จะยิ่งถูกจับจ้องว่า เขาจะถูกปล่อยตัวออกมาหรือไม่ ซึ่งความรู้สึกที่สื่อสารออกมาล้วนเป็นลักษณะ “อภิสิทธิ์ชน” ที่เอาเปรียบคนอื่น ที่สำคัญ ยังส่งผลกระทบต่อความนิยมของพรรคเพื่อไทยตามมาด้วย
แรงกดดันที่เริ่มส่งผลให้เห็นชัดเจนมากขึ้นอย่างน้อยก็สะท้อนผ่านทางท่าทีของพรรคก้าวไกล ที่ล่าสุดนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านก็เริ่มออกมาแสดงท่าทีในเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงให้เคลียร์ อย่านิ่งเงียบ และเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่
นายชัยธวัช เห็นว่า ต้องยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นที่สังคมจับตาว่าเรามีปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรมแบบ 2 มาตรฐานมาโดยตลอด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วย เราจึงคาดหวังว่าเป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นอีก แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้มีการตั้งคำถามเยอะ โดยเฉพาะกรณี นายทักษิณ ซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงระเบียบราชทัณฑ์ในการควบคุมตัวนอกเรือนจำ
“ขณะนี้คุณทักษิณอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจจะครบ 120 แล้ว มันก็เกิดคำถามว่าทำไมคุณทักษิณถึงได้รับการปฏิบัติที่ดูเหมือนมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าผู้ต้องขังคนอื่น เราเห็นด้วยว่าหากผู้ต้องขังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ จำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาล โดยที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพไม่เพียงพอ เราเห็นด้วยว่าผู้ถูกคุมขัง ควรได้รับสิทธิ์ออกไปรักษาข้างนอกได้ แต่ที่ผ่านมามีผู้ต้องขังน้อยมาก ที่ได้รับสิทธิ์นี้ ผู้ต้องขังหลายคนมีปัญหาสุขภาพรุนแรง แต่ก็ไม่ได้รับสิทธิ์นี้” นายชัยธวัช กล่าว
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่าคนที่ได้รับสิทธิ์นี้ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมือง มีฐานะ แต่คนธรรมดาไม่เคยได้รับสิทธิ์นี้เลย จึงเกิดคำถามว่าทำไมนายทักษิณได้รับสิทธิ์นี้เพียงคนเดียว รักษามา 120 วันแล้ว ทำไมถึงได้รับสิทธิ์นี้อยู่ เรื่องนี้รัฐบาลไม่ควรปล่อยไว้ควรตอบสังคมให้ชัดเจน และเรื่องนี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามกับระเบียบราชทัณฑ์ที่ออกมาใหม่ เพราะปรากฏการณ์นี้ทำให้คนจำนวนหนึ่งสงสัยว่า ระเบียบที่ออกมาใหม่จะเอื้อให้กับนายทักษิณแบบ 2 มาตรฐานอีกหรือไม่
นั่นคือท่าทีที่สะท้อนผ่านทางพรรคก้าวไกล ซึ่งถือว่ามีการพูดถึงเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับมีคำถามกลับไปบ้างเหมือนกันว่า ผ่านมาตั้งเกือบ 120 วัน ทำไมถึงเพิ่งมาพูดถึงเรื่อง “สองมาตรฐาน” เอาในช่วงนี้ แต่ขณะเดียวกันมันก็สะท้อนให้เห็นว่า เป็นเพราะกระแสสังคมกำลังกดดันกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร หนักหน่วงขึ้นทุกวัน จนทำให้อยู่นิ่งเฉยไม่ได้
ดังนั้น หากพิจารณาจากสถานการณ์ล่าสุด ทำให้มองเห็นบรรยากาศที่ต้องจับตาอยู่ไม่น้อย ว่า กรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร จะทำให้เกิดพลังรวมศูนย์ความไม่พอใจปะทุขึ้นมาอีกรอบหรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เริ่มเห็นการก่อตัวของ “ระบอบทักษิณ” รอบใหม่กำลังเกิดขึ้นอีก จากการตั้งรัฐบาล การจัดสรรตำแหน่งในรัฐบาล ล้วนเป็นคนในครอบครัวนี้ทั้งสิ้น และยิ่งมาเจอ “นักโทษเทวดา” ที่มองว่าย่ำยีกระบวนการยุติธรรมจนป่นปี้ มันก็น่าเป็นห่วงแรงระเบิดจะเกิดขึ้นมาอีกก็ได้ อย่าดูเบาเป็นอันขาด !!