xs
xsm
sm
md
lg

รบแล้วต้องจบ ป้องกันปัญหาภายหลัง !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

นาทีนี้เชื่อว่า ทุกคนคงรับรู้กันแล้วว่า “หากเกิดการสู้รบกันอีกครั้งก็ต้องเอาให้จบ” ทั้งเสียงจากชาวบ้าน ทุกฝ่าย ต่างมีความคิดตรงกันแบบนั้น และเชื่อว่าทางฝ่ายทหาร หรือกองทัพทั้งแนวหน้า แนวหลังย่อมรู้ดีเหมือนกัน ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาล โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ย่อมรู้ดีเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากท่าทีล่าสุด วันที่ 8 ธันวาคม ของนายกรัฐมนตรี ก็น่าจะพอใจสถานการณ์การรบนับจากนี้น่าจะเข้มข้น เนื่องจากเขายืนยันว่าจะไม่เจรจาอีกแล้ว

สำหรับรายงานสถานการณ์การสู้รบ จากการแถลงของ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าขณะนี้กัมพูชาได้เปิดแนวปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้นอีกหลายพื้นที่ ซึ่งฝ่ายไทยได้ดำเนินมาตรการ 2 ด้าน พร้อมกัน คือ มาตรการเชิงรุก และ มาตรการเชิงรับ

มาตรการเชิงรุก คือฝ่ายไทยได้ตอบโต้ตามแผนเผชิญเหตุ และอยู่ในกรอบกติกาที่เป็นสากล เป็นไปตามเหตุและผล โดยมีเป้าหมายที่สำคัญที่สุด คือทำลายอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชา และเน้นเป้าหมายการโจมตีทางทหารเป็นหลัก โดยขอสนับสนุนการใช้อากาศยานของกองทัพอากาศ ซึ่งถือเป็นความจำเป็นในการป้องกันตนเอง
 
เนื่องจากฝ่ายกัมพูชามีการใช้อาวุธยิงสนับสนุนเข้ามาในเขตไทยอย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมาอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชาได้ส่งผลกระทบต่อพลเรือนของไทย ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ไทยจึงเลือกใช้ปฏิบัติการทางอากาศที่มีความแม่นยำสูง สามารถจำกัดขอบเขตความเสียหายต่อเป้าหมายทางทหารของกัมพูชาเท่านั้น และไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อพลเรือนของฝ่ายกัมพูชา

ส่วนมาตรการเชิงรับ คือการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงไปยังพื้นที่ปลอดภัย ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้น จนถึงตอนนี้ เบื้องต้นยืนยันได้ว่ากำลังพลของฝ่ายไทยเกิดความสูญเสีย 1 ราย และได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 7-8 ราย โดยผู้บัญชาการทหารบกได้เน้นย้ำและกำชับให้ปฏิบัติการโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของกำลังพลในพื้นที่ รวมถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญที่สุด

พลตรี วินธัย กล่าวว่า ตั้งแต่การปะทะที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน เมื่อบ่ายวันที่ 7 ธ.ค. และมีการยิงปะทะกันตลอดทั้งคืน จนถึงเช้า ราวตี 5 ที่เขมรเปิด 5 จุดปะทะใหญ่เพิ่ม ช่องอานม้า-ห้วยตามาเรีย-ปราสาทคะนา-ปราสาทตาควาย-ปราสาทตาเมือน

นอกจากนี้ยังพบว่า ฝ่ายกัมพูชาเล็งเป้าพลเรือน เตรียมยิงจรวดเข้ามาที่สนามบินบุรีรัมย์ และโรงพยาบาลปราสาท แม้จะอยู่ห่างชายแดนมากกว่า 30 กม.ก็ตาม

ไทยจำเป็นต้องเร่งสกัดอาวุธยิงสนับสนุนของฝ่ายกัมพูชาที่กำลังคุกคามทั้งกำลังทหารและพี่น้องประชาชน เพราะในการปะทะครั้งที่ผ่านมา อาวุธดังกล่าวของกัมพูชา เคยยิงใส่พื้นที่พลเรือนลึกเข้าไปในเขตไทย ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากมาแล้วเมื่อ ก.ค.2568 ที่ผ่านมา

ดังนั้น เราต้องทำลายอาวุธยิงสนับสนุนนั้นให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียกับพี่น้องประชาชนคนไทย และกำลังพลของกองทัพ

ขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลวันเดียวกัน โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทย พร้อมด้วย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม พล.อ.อุกกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผบ.ทสส. พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผบ.ทร. พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผบ.ทอ. และ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมแถลงการณ์ต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า รัฐบาลขอยืนยัน ประเทศไทยจะดำรงความมุ่งมั่นสูงสุดในการปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และสิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม และในวันนี้ได้มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีมติยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ คือ จะมีปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณีตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่น ๆ ที่มีความจำเป็น

นายกรัฐมมนตรี กล่าวย้ำว่า คงไม่ให้เจรจาแล้ว ถ้าเขาดำเนินการกับเราถึงขนาดนี้และเราก็ได้ตอบโต้ให้เขาเห็น เที่ยวนี้น่าจะชัดเจนแล้วว่า การตอบโต้ของเราไม่ใช่การตอบโต้เพื่อส่งสัญญาณใดๆ แต่เป็นการตอบโต้ให้เขาเห็นว่าเขาไม่ควรเข้ามาคุกคามอธิปไตยของประเทศไทย ดังนั้นการเจรจาก็จะไม่มีแล้ว จากนี้ไปถ้ากัมพูชาจะหยุดสู้รบกันก็ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด

ซักว่า ต้องฉีกถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับกัมพูชา (Joint Declaration) ที่ลงนามที่ประเทศมาเลเซียใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีแล้วครับ จำไม่ได้

ถามต่อว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องได้คุยกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หรือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่เป็นพยานในการลงนามแล้วหรือไม่และจำเป็นต้องแจ้งก่อนหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่าไม่คุย และไม่แจ้ง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศไทยและคู่กรณี เมื่อถามว่ากังวลจะส่งผลต่อการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่กังวล

เมื่อพิจารณาจากท่าทีดังกล่าวแล้ว ทั้งจากรัฐบาล และกองทัพไทย ถือว่ามีท่าทีแข็งกร้าว เหมือนกับว่า “เหลืออด” แล้ว จะไม่ยอมให้กัมพูชา “กวนประสาท” ไทยอีกต่อไปแล้ว และผลการจากการเจรจาหยุดยิงดังกล่าว ในยุครัฐบาลก่อนยังได้สร้างปัญหาเรื่อง “อธิปไตย” เรื่องเขตแดนมาถึงตอนนี้ และจะว่าไปแล้วจากการหยุดหยิงคราวนั้นก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ปัญหาคาราคาซังไปจบไม่สิ้น ทำให้ประชาชนคนไทย และทหารไทยต้องสูญเสียไม่จบไม่สิ้น

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจาก “อารมณ์ร่วม” ของคนไทยทั่วไปแล้วก็คงเห็นตรงกันว่า “ต้องจัดหนัก” และ “จัดให้จบ” ไปเลย เพราะไหนๆ เมื่อต้องรบกันอีกรอบก็ต้องอย่าให้ค้างคากันอีกเลย แบบว่าจัดไปให้ตลอดแนวตั้งแต่กองทัพภาคที่ 2 ลงมาจนถึงกองทัพภาคที่ 1 และไปจนถึง จันทบุรี ตราด ม้วนเดียวจบไปเลย เพราะนาทีนี้คงไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว “ไปให้สุด” หลังจากนั้นค่อยมาว่ากัน

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากความสูญเสียทั้งฝ่ายทหารและประชาชน ที่ต้องอพยพทั้งบ้านเรือน ทรัพย์สิน มันก็ถึงเวลาต้องจัดการให้เรียบร้อย ใช้ศักยภาพที่เหนือกว่า จัดการให้ราบคาบ จนต้องเข็ดหลาบหรือไม่ต้องเป็นภัยคุกคามในอนาคตได้อีกต่อไป เชื่อว่าคนไทยนาทีนี้มีใจเป็นหนึ่งเดียว จัดเต็ม ให้จบในคราวเดียว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น