“จาตุรนต์” จี้ ยืนหลักการยกเลิกเกณฑ์ สว. 1 ใน 3 หวั่นร่าง รธน.ใหม่ล้มทั้งฉบับ ชี้ ระบบปัจจุบันเอื้อ “พวกน้อยลากไป” 134 เสียงขวาง 500 เสียง ปชช. “เท้ง” โต้ ภท.ข้อตกลงคือโน้มน้าว สว. ไม่ใช่ฟื้นอำนาจยับยั้งกระบวนการ ป่วนไม่รับผลโหวต 312 เสียง คงเกณฑ์ สว. 1 ใน 3 เสนอนับใหม่ขานชื่อ
วันนี้ (11 ธ.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกรัฐสภา ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภากรณีการตัดเกณฑ์ สว. 1 ใน 3 ในการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนุญ ในมาตรา 256/28 ว่า การที่มีข้อเสนอให้ผ่อนปรนเงื่อนไขเพื่อหวังให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านในอีก 15 วันข้างหน้า อาจกลายเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ร่างฉบับนี้ไม่สามารถเดินหน้าได้จริง แม้ผ่อนให้วันนี้ก็ไม่อาจแน่ใจว่าภายหลังจะผ่านวาระสาม เพราะเงื่อนไขเชิงหลักการยังเปิดช่องให้ถูกคว่ำร่างได้อีก
ส่วนที่มีผู้อภิปรายพยายามทำให้เข้าใจว่ากรรมาธิการต้องการแก้กติการายมาตรา ของมาตรา 256 เพื่อยกเลิกเสียง สว. หนึ่งในสาม ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด โดยย้ำว่า ร่างของพรรคภูมิใจไทยที่เคยเสนอให้ลดเกณฑ์ สว. จากหนึ่งในสาม เหลือหนึ่งในห้าได้ถูกถอนออกไปแล้ว ดังนั้น รัฐสภาไม่ได้กำลังแก้กติกาการแก้ไขรายมาตรา แต่กำลังวางกติกาใหม่เพื่อเปิดทางสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เงื่อนไขปัจจุบันที่ต้องใช้เสียง สว. หนึ่งในสาม หรือ 67 เสียงในทางปฏิบัติไม่ใช่ตัวตัดสินจริง แต่คือกลุ่มที่รวม สว. ได้ 134 เสียงขึ้นไปต่างหากที่สามารถขวางทุกอย่างของรัฐธรรมนูญได้ แม้จะเป็นเพียง 19% ของ 700 เสียง แต่กลับสามารถยับยั้งเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่มีผู้แทนกว่า 500 คนได้ ถือเป็นความวิปริตของระบบ ที่เปิดทางให้เสียงข้างน้อยเพียงหยิบมือมีอำนาจเหนือเสียงประชาชนทั้งประเทศ
นายจาตุรนต์ ชี้ว่า การร่างรัฐธรรมนูญใหม่แตกต่างจากการแก้รายมาตรา เพราะต้องผ่านประชามติถึง 3 ครั้ง คือ ประชามติเห็นชอบให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 2 ประชามติรับร่างของกรรมาธิการร่างฯ และ3ประชามติสุดท้ายเพื่อให้มีผลบังคับใช้
“หากยังคงให้ สว. หนึ่งในสามมีอำนาจขวางขั้นตอนแรก เท่ากับปิดโอกาสไม่ให้ประชาชนทั้งประเทศได้ตัดสินใจตั้งแต่ต้น ซึ่งสวนทางกับหลักประชาธิปไตยและเจตนารมณ์ของประชาชน ไม่ใช่พวกมากลากไป แต่เป็นพวกน้อยลากไปต่างหาก ที่ทำให้ระบบไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญได้อย่างแท้จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า หากกรรมาธิการยอมถอยจากหลักการสำคัญนี้ ก็อาจกลายเป็นเหตุที่ทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่สำเร็จ และทำให้ประเทศต้องติดอยู่กับความล้าหลังเดิมต่อไปอีกยาวนาน พร้อมวิงวอนสมาชิกรัฐสภาทุกฝ่ายตระหนักว่า การตัดสินใจครั้งนี้มีผลต่อทิศทางของประเทศและอนาคตของประชาชนทั้งประเทศ
ขณะที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ลุกอภิปรายตอบโต้ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย โดยระบุว่า เหตุผลที่พรรคภูมิใจไทยเคยทำข้อตกลงร่วมกับพรรคประชาชน เป็นเพราะเชื่อว่าสามารถ “โน้มน้าว สว.” ให้เห็นชอบการแก้รัฐธรรมนูญได้ ไม่ใช่เพื่อกลับมาคงเสียง สว. 1 ใน 3 ในขั้นสุดท้าย
เขาระบุว่า ข้อถกเถียงเรื่อง “รัฐธรรมนูญเพ้อฝันหรือเป็นจริง” แท้จริงคือการสร้างรัฐธรรมนูญที่ยึดโยงประชาชนมากที่สุดภายใต้ข้อจำกัด ไม่ใช่การย้อนกลับไปให้ สว. ถืออำนาจยับยั้งกระบวนการอีก โดยเฉพาะเมื่อมาตรา 256/28 ถูกชี้ว่าเป็น “จุดตัดสำคัญ” ของคำว่าพูดแล้วทำ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยยืนยันมาตลอด หากวันนี้กลับลงมติให้คงเสียง สว. 1 ใน 3 ย่อมทำให้สังคมตั้งคำถามว่า “รักษาคำพูดจริงหรือไม่”
นายณัฐพงษ์ เตือนว่า หากพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ซึ่งอยู่ในฐานะฝ่ายค้านเสียงข้างมาก ไม่สามารถยอมรับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยังคงเสียง สว. 1 ใน 3 ได้ และหากผลโหวตวาระสองกลับมาเป็นไปตามที่ สว. ต้องการ การทำรัฐธรรมนูญอาจไม่เดินหน้าจนถึงวาระสาม ซึ่งจะนำไปสู่แรงกดดันให้ นายกรัฐมนตรีต้องยุบสภา
“รัฐสภาต้องไม่ฟังเพียงเงื่อนไขของ สว. บางส่วน แต่ต้องยึดตามข้อตกลงเดิมว่า พูดแล้วต้องทำ” ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านไม่อาจรับได้หากมีการฟื้นเกณฑ์ สว. 1 ใน 3 ดังนั้น หากพรรคภูมิใจไทยลงมติไปในทางเดียวกับเสียงข้างมาก หรือแม้แต่งดออกเสียง เพื่อให้ร่างผ่านวาระสอง ก็ยังมีเวลาอีก 15 วันในการร่วมกันโน้มน้าว สว. ให้เห็นชอบในวาระสาม
“แต่หากภูมิใจไทยยังยืนยันให้ฟื้นอำนาจ สว. 1 ใน 3 นายณัฐพงษ์ ประกาศชัดว่า ฝ่ายค้านรับไม่ได้ และถือเป็นสัญญาณว่าภูมิใจไทยไม่จริงใจต่อการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
จากนั้นที่ประชุมได้มีมติ 290 ต่อ 312 เสียง เห็นด้วยกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก โดยมีงดออกเสียง 6 เสียง ซึ่งหมายความว่า เสียงส่วนใหญ่เห็นตามกรรมาธิการเสียงข้างน้อยให้คงเกณฑ์เสียง สว.1 ใน 3 ทามกลางเสียงโห่ดีใจของ สว. แต่นายณัฐพงษ์ ได้เสนอให้นับใหม่ เนื่องจากมีเสียงห่างกันไม่ถึง30 เสียง ซึ่งตามข้อบังคับการประชุมกำหนดให้ต้องนับโดยเรียงลำดับชื่อ ทั้ง 700 คน


