พท. ซัด กลไกทำ รธน.ใหม่ ส่อสร้างขัดแย้ง ชูธง มี “ส.ส.ร.” 151 คน เป็นตัวกลางสร้างยอมรับทุกฝ่าย ด้าน “พริษฐ์” ขอเสียงหนุน ฟื้น 2 กลไก เพิ่มประชาชนมีส่วนร่วม
วันนี้ (10 ธ.ค.) ที่รัฐสภา ในการประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.. ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแล้วเสร็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการพิจารณาร่างมาตรา 4 ว่าด้วยองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ กมธ. เสียงข้างมาก กำหนดให้มี กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน ซึ่งรัฐสภาคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อของผู้สมัครได้รับเลือก และ กมธ.รับฟังความคิดเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน ซึ่งรัฐสภาคัดเลือกจากบัญชีรายชื่อของบุคคลที่สมัครรับคัดเลือก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรางมาตราดังกล่าว พบว่า มี กมธ.เสียงข้างน้อยในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยสงวนความเห็นปรับแก้ไขโดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด เพื่อให้เกิดกลไกเชื่อมโยงกับประชาชน นอกจากนั้นเพื่อทำหน้าที่กำกับ และลงมติต่อร่างรัฐธรรรมนูญฉบับใหม่ ที่ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ดำเนินการ พร้อมกับแก้ไขสูตร 20 หยิบ 1 ที่กมธ.เสียงข้างงมากเสนอเพราะมองว่าจะเปิดช่องให้ฮั้วเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้
โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ฐานะ กมธ.ที่สงวนความเห็น อภิปรายว่า ตามเนื้อหาที่ กมธ.เสียงข้างมาก กำหนดให้มีผู้เขียนรัฐธรรมนูญ 35 คน มาจากการเลือกของรัฐสภา ด้วยสูตร 20 หยิบ 1 นั้น สุ่มเสี่ยงที่คนเขียนรัฐธรรมนูญจะถูกครอบงำ ชี้นำมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะกรณีที่ผู้สมัครต้องมีผู้สนับสนุน 100 คน บุคคลทั่วไปยากมากที่จะหาผู้สนับสนุนได้ครบ แต่หากเป็นกลุ่มหรือพรรคการเมืองทำได้ง่ายมาก ดังนั้น ผู้เขียนรัฐธรรมนูญสามารถถูกจัดตั้งมาตั้งแต่แรก ถูกใส่ชื่อมาตั้งงแต่ต้น ดังนั้นจึงต้องการตัดประเด็นการครอบงำ ชี้นำให้มากที่สุด
“ผมเสนอให้ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญมาจากสัดส่วนภูมิภาค 20 คน และมาจากผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ 15 คน เพื่อป้องกันการผูกขาด ครอบงำ ของเสียงข้างมาก กลไกที่ให้รัฐสภาคัดเลือก จะใช้แนวทางของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เป็นฐานพิจารณา คือ ผู้สมัครที่จะผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง และจำนวนนั้นต้องมีสว.เห็นชอบด้วย ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 หรือ 40 คน และได้เสียงฝ่ายค้านเห็นชอบ 20% เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล ได้รับความเห็นชอบของทุกฝ่าย เพื่อมั่นใจว่ากมธ.ร่างรัฐธรรมนูญมจากทุกภาคส่วน ป้องกันการครอบงงำ ชี้นำ การฮั้ว ให้รัฐธรรมนูญเป็นสีใดสีหนึ่งได้” นพ.ชลน่าน อภิปราย
นพ.ชลน่าน อภิปรายต่อว่า รัฐสภาเป็นผู้กำหนดอนาคตของประเทศ ดังนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทย และตนเสนอเป็นหนทางได้กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี ส.ส.ร. และได้แนวทางที่เหมาะสม ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ผ่านการเลือกตั้งทางอ้อม ได้รัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นของประชาชนทุกภาคส่วนและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ด้าน น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะ กมธ.ที่สงวนความเห็น อภิปรายให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จำนวน 151 คน มาจากประชาชนแต่ละจังหวัด และรัฐสภาแต่งตั้งตามคุณสมบัติ เพื่อทำหน้าที่กำกับ และกลั่นกรองร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผู้ยกร่างเขียนขึ้น และที่มา โดยตัดประเด็นการมีผู้สนับสนุนตอนสมัคร เพราะมองว่าเป็นการเปิดช่องให้จัดตั้งทางการเมือง กีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชน
“ส.ส.ร. เป็นกลไกช่วยให้รัฐธรรมนูญใหม่ ยึดโยงกับประชาชน ดังนั้น ส.ส.ร. จึงต้องมีที่มาที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน มีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล กำกับการทำงานของ กมธ.ร่าง และ กมธ.รับฟังความเห็น และมีอำนาจเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นหลักประกันกระบวนกรยกร่างรัฐธรรมนูญที่โปร่งใส รอบคอบ ทั้งนี้ ส.ส.ร.ถือเป็นองค์ประกอบที่สาม ที่จำเป็นต่อการเมืองไทย ที่จะทำให้รัฐธรรมนูญใหม่ชอบธรรม ได้รับการยอมรับ และยึดโยงกับประชาชน” น.ส.ขัตติยา อภิปราย
ขณะที่ นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะ กมธ. อภิปราย ว่า เชื่อว่า สังคมไทยยังขัดแย้ง ในการเลือกตั้งมีการแบ่งเป็นสีต่างๆ ซึ่งหากใช้กลไกของ กมธ.เสียงข้างมาก เชื่อว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะถูกครอบงำโดยเสียงข้างมาก ทำให้สีที่เหลือไม่ยอมรับต่อการทำรัฐธรรมนูญใหม่ และอาจไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน โครงสร้างของผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่กมธ.เสียงข้างมากเสนอยังมีปัญหา มีช่องโหว่ง ช่องว่าง ดังนั้นต้องมีโครงสร้างที่ประชาชนยอมรับในทุกขั้นตอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ กมธ.ฝั่งพรรคประชาชน นำโดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ฐานะ กมธ. อภิปรายตามที่สงวนความเห็นตอนหนึ่งว่า เสียดายที่ กมธ.เสียงข้างมากเห็นต่างจากพรรคประชาชน ตัดกลไก กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และแปลงสภาพจากสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกตั้ง 100 คน ไปเป็น กมธ.รับฟังความคิดเห็น ทั้งนี้ พรรคประชาชนยืนยันว่ากลไกที่เสนอนั้นไม่ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะกลไกเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรง แต่กำหนดให้ประชาชนเลือกมาเบื้องต้นแล้วให้รัฐสภาคัดเลือก ส่วนสภาที่ปรึกษาที่ออกแบบไม่ใช่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ จึงไม่อยู่ในข่ายข้อห้ามตามที่ศาลรัฐธรรมนูญระบุ
“หากยอมรับการตีความเช่นนั้น หมายความว่า ให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่ไปรับฟังนายก อบจ. ทุกจังหวัด เพราะเป็นตัวแทนของประชาชน จะถูกตีความว่าทำไม่ได้ เพราะนายก อบจ. มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหรือไม่ ดังนั้น หากมองว่ากลไกที่พรรคเสนอ เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงขอให้รัฐสภาลงมติสนับสนุน” นายพริษฐ์ อภิปราย


