เมืองไทย 360 องศา
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พรรคประชาชนได้ประกาศชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจำนวน 3 คน ได้แก่ 1. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค 2. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ด้านนโยบาย และ 3. นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคด้านยุทธศาสตร์ และนับเป็นพรรคการเมืองแรก ที่เปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ ก่อนการเลือกตั้งที่จะมาถึง
นายณัฐพงษ์ กล่าวภายหลังการประกาศรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ว่า พรรคประชาชนได้พิสูจน์ศักยภาพจากการคว้าคะแนนอันดับ 1 ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา และในการเลือกตั้งครั้งใหม่ จะไม่มีการใช้เสียงจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) มาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเหมือนที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดทิศทางผู้นำประเทศอย่างแท้จริง
พรรคตั้งใจขอ “ใบอนุญาตที่ 1” จากประชาชนเป็นรัฐบาลพรรคเดียว โดยจะต้องได้คะแนนเกินครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คือ 20 ล้านเสียง เพื่อไม่ให้ถูกปฏิเสธการเป็นรัฐบาลเหมือนครั้งที่แล้ว และจะเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างประเทศครั้งใหญ่ ทั้งด้านเศรษฐกิจสมัยใหม่ เทคโนโลยี การบริหารจัดการภาครัฐที่โปร่งใส และโมเดลการพัฒนาที่ลดความเหลื่อมล้ำ เชื่อว่าการเปิดตัวทีมแคนดิเดตชุดใหม่นี้ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและความหวังให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
พรรคประชาชน ย้ำว่า ทีมแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 ราย สะท้อนความพร้อมของพรรคในทุกมิติ ตั้งแต่เศรษฐกิจ นโยบายสังคม ไปจนถึงการบริหารประเทศในยุคใหม่ โดยพรรคเชื่อว่าจะสามารถลงแข่งขันในสนามเลือกตั้งที่จะมาถึงได้อย่างเต็มศักยภาพ และเป็นตัวเลือกที่มีความพร้อมที่สุดในการนำพาประเทศสู่อนาคตใหม่
ด้าน น.ส.ศิริกัญญา กล่าวถึง กรณีหวั่นใจกับอะไรมากที่สุดหากผลการเลือกตั้งออกมาอาจไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เหมือนในปี 2566 ว่า จริงๆ แล้วเราหวั่นใจเรื่องเดียวที่น่าจะเป็นปมในใจเราตั้งแต่ปี 66 นั่นคือ การชนะเลือกตั้งแล้วไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งเราเข้าใจเงื่อนไขดีว่า รอบนี้แม้จะไม่มี สว.แล้วก็ตาม แต่การชนะแบบไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ได้การันตีว่าเราจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
“ไม่น่าแปลกใจว่า ทําไมเราถึงมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานขนาดนี้ ที่อยากจะได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว เพราะการที่ได้ต่ำกว่า 250 นั้น แทบจะเป็น 80-90 เปอร์เซ็นต์ ที่เราอาจจะเป็นฝ่ายค้านอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราเข้าใจดีว่า ประชาชนไม่อยากรออีกต่อไป ประชาชนอยากให้เราเป็นรัฐบาลจะแย่แล้ว ย้ำว่า เรื่องนี้เรื่องเดียวเป็นเรื่องที่เรายังคงต้องทํางานอย่างแข็งขันมุ่งมั่น เพื่อให้พรรคประชาชนได้เป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียว”
นั่นคือการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาชน ครบเต็มจำนวนทั้ง 3 คน และเป้าหมายแบบทะเยอทะยานเป้าหมายให้ได้ ส.ส.จำนวน 250 ที่นั่งขึ้นไป เพื่อเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ส่วนจะเป็นเป้าหมายแบบ “เพ้อฝัน” หรือ “เพ้อเจ้อ” ค่อยมาว่ากัน ว่ามันเป็นไปได้แบบไหนกันแน่
ในการเลือกตั้งล่าสุดคือ เมื่อปี 2566 พรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนในปัจจุบัน ได้ ส.ส.จำนวนมากที่สุดคือ 151 เสียง แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจากไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ อีกทั้งด้วยข้อจำกัดในเรื่องการร่วมโหวตของ ส.ว. ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ทำให้พรรคเพื่อไทยชิงตัดหน้ารวมเสียงได้จัดตั้งรัฐบาลแทน แม้ว่าจะมีเบื้องหลังมากมายที่แล้วแต่มุมมองว่ากันไป
แต่หากพิจารณาจากเหตุการณ์ในอดีต แล้วมองไปถึงอนาคตข้างหน้าที่พรรคก้าวไกลคาดหวังว่าพวกเขาจะสามารถชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายอีกครั้ง และคราวนี้ไปไกลถึงขั้นบอกว่า ต้องได้เกิน 250 ที่นั่ง เพื่อเป็นรัฐบาลพรรคเดียว จะเป็นไปได้หรือไม่
หากย้อนไปวิเคราะห์บรรยากาศและสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนั้น ที่เป็นปัจจัยส่งเสริมให้พรรคประชาชน(ก้าวไกล) ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ส่วนสำคัญก็คือ เป็นช่วงการต่อสู้กดดันกับ “บรรยากาศเผด็จการ” ตั้งแต่ยุค คสช. ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลที่นำโดย “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 9 ปี พร้อมคำพูดที่ประกาศว่า “มีลุง ไม่มีเรา” ย่อมทำให้ฐานคะแนนเสียงของคนกลุ่มใหญ่ ที่มีทั้งคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบในเรื่องอิสรภาพ ความคิดในอุดมคติ เช่น เสรีภาพ ภราดรภาพ แบบคำพูดในตำรามันย่อมปลุกเร้าทำให้เลือดลมพลุ่งพล่านได้ดี
ประกอบกับพรรคที่เป็น “นักประชาธิปไตย” อย่างพรรคเพื่อไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร ยังลังเลที่จะประกาศในเรื่อง “มีเรา มีลุง” หรือไม่ และเพิ่งมาตัดสินใจเอาในโค้งสุดท้าย ก็ไม่ทันการณ์แล้ว และที่มองข้ามไม่ได้ก็คือ คราวก่อนตัวหัวหน้าพรรค คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีความโดดเด่นกว่า หล่อกว่า อะไรประมาณนั้น เมื่อเทียบกับนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ที่พิสูจน์มาจากผลสำรวจที่ผ่านมาระบุว่า ยังไม่ได้โดดเด่นหรือ “ป๊อปปูล่า” พอ
ดังนั้น เมื่อพิจารณา จากสถานการณ์และบรรยากาศในอดีตและเปรียบเทียบให้เห็นถึงแนวโน้มสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่จะเกิดขึ้นในต้นปีหน้าแล้ว นาทีนี้ถือว่าบรรยากาศไม่ได้เป็นใจกับพรรคประชาชนเลย จนอาจจะเรียกว่า “ไม่เข้าทาง” เอาเสียเลย แม้ว่าพรรคประชาชน จะพยายามเน้นในเรื่อง “ทุนเทา คนเทา” ที่สร้างความอัปยศให้กับคนไทยเวลานี้อยู่ก็ตาม แต่หากเทียบกับกระแส “ชาตินิยม” ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว ถือว่าสองเรื่องหลังน่าจะมีพลังมากกว่า รวมไปถึงปัญหาปากท้อง นโยบายทางด้านเศรษฐกิจที่จับต้องได้มากกว่า
นอกเหนือจากนี้ จุดที่น่าระทึกใจอีกเรื่องสำคัญก็คือ นายณัฐพงษ์ และ นางสาวศิริกัญญานั้น ยังอยู่ระหว่างถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนกรณีร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อปี 2564 ว่า เข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่ หากป.ป.ช.มีมติยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา และศาลรับฟ้อง ทั้งสองจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีจนกว่าจะมีคำพิพากษา และหากถูกชี้ว่าผิดฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อาจถูกตัดสิทธิทางการเมืองทันที แม้ว่ายังมีเวลาอีกพักหนึ่ง แต่เชื่อว่าคงอีกไม่นานนัก ทำให้เวลานี้กลายเป็นชนักปักหลังพวกเขาอยู่
ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกันกับอีกพรรคหนึ่งที่คาดว่าจะกลายเป็นคู่แข่งกันเพียงสองพรรค นั่นคือ พรรคภูมิใจไทย ที่เวลานี้กำลังขยายตัวอย่างก้าวกระโดด มีทั้งกลุ่ม “มุ้ง” บรรดา “บ้านใหญ่” ทั่วประเทศต่างไหลเข้ามา ล่าสุดเพิ่งเข้ามาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ก็มาแบบยกพรรค นั่นคือ กลุ่มสุพรรณบุรี ที่นำโดยนายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ยกส.ส.มาทั้งหมด กลุ่มชลบุรี นำโดย นายสนธยา คุณปลื้ม เป็นต้น
เอาเป็นว่าเวลานี้ พรรคภูมิใจไทยที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย “เนื้อหอม” มากที่สุด และยิ่งการ “ชิงเปิดตัว” แคนดิเดตนายกฯ ที่มี นายเอกนิติ นิตทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯและรัฐมนตรีคลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก่อนหน้านี้ ยิ่งสร้างภาพลักษณ์ “โกยกระแส” เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และยังถือว่ามาเติมเต็มความเชื่อมั่นของ “ทีมเศรษฐกิจ” ให้ครอบคลุมมากขึ้น
เพราะพิจารณาจากผลสำรวจจะเห็นได้ชัดว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล กำลังได้รับความนิยมแบบก้าวโดด และรวมถึงพรรคภูมิใจไทยก็ถือว่าแรงมาก แน่นอนว่าหากเทียบกับพรรคประชาชน นาทีนี้ถือว่า “หายใจรดต้นคอ” คาดว่าอีกไม่นานก็น่าจะแซงนำค่อนข้างแน่
ดังนั้นด้วยปัจจัย และบรรยากาศต่างๆ ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ไม่ได้เอื้ออำนวยให้กับพรรคประชาชนและกระแสของแคนดิเดตนายกฯของพรรคมากนัก และเมื่อเทียบกับพรรคภูมิใจไทยแล้ว ถือว่าเสียเปรียบทุกประตู ทำให้แม้ว่าในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้พรรคประชาชนยังคงเป็นพรรคใหญ่ เต็มที่อาจมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่สำหรับการเป็นพรรคที่ได้รับเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” เพื่อให้ได้ ส.ส.เกินกว่า 250 เสียงนั้น ต้องบอกว่า “เพ้อฝัน” ถึงขั้น “เพ้อเจ้อ” เลยทีเดียว!!


