xs
xsm
sm
md
lg

หอมกลิ่นการเมือง “เอกนิติ”ซบ ภท. !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อนุทิน ชาญวีรกูล - เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
เมืองไทย 360 องศา

แน่นอนว่า หากพิจารณาบทบาทของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ถือว่า เขาคือ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” อย่างเต็มตัว และเป็นบทบาทที่ได้รับอย่างโดดเด่น จนมีการคาดหมายไปไกลอีกว่า ในอนาคตเขาจะต้องโลดแล่นในเส้นทางการเมืองต่อไป เพราะคงไม่ย้อนกลับมาในเส้นทางราชการค่อนข้างแน่ แม้ว่าจะยังเหลืออายุราชการอีกราว 5 ปี ก็ตาม

นายเอกนิติ เข้ามารับตำแหน่งรองนายกฯและควบรัฐมนตรีคลัง ในรัฐบาลชุดนี้ ทำหน้าที่ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” และได้รับบทบาทอย่างเต็มที่ จากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเมื่อรับรู้ว่ารัฐบาลนี้มีช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ประมาณไม่เกิน 4 เดือน ก็ต้องถือว่ามีคำพูดที่มี “ความหมาย”ระหว่างกัน และต้องสมน้ำสมเนื้อ กับการแลกกับอายุราชการ และความก้าวหน้า

อย่างไรก็ดี นายอนุทิน เคยบอกว่า คนที่เขาทาบทามมารับตำแหน่งในรัฐบาลที่มีอายุสั้นๆ และปัญหาต้องแก้ไขมากมาย ถือว่าพวกเขาต้อง“เสียสละ”อย่างมาก 

แต่เอาเป็นว่า เบื้องหลังจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เพราะถึงอย่างไรในช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้อีกด้านหนึ่งก็ต้องพิสูจน์ผลงานให้เห็นเหมือนกันว่า เขามีดีพอที่จะสร้างอนาคตทางการเมืองให้ไปไกลกว่านี้ได้อีกหรือไม่

ล่าสุด ได้รับการเปิดเผยจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคจะมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง พร้อมกับแสดงสัญลักษณ์ มาที่ นายเอกนิติ

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน หลังจากนายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีหากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจตาม มาตรา 151 นายกรัฐมนตรีได้เช็กอำนาจตัวเองแล้วหรือไม่ ว่าสามารถยุบสภาได้หรือไม่ว่า เที่ยวหน้าตนมีแคนดิเดตนายกฯ เพิ่มอีกคน โดยระหว่างนั้น นายอนุทิน ได้หันพร้อมพยักหน้า และทำปากจู๋ ไปยัง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง

เมื่อถามต่อว่า ใช่นายเอกนิติ หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า อ้าวพูดมาขนาดนี้แล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนี้ นายเอกนิติ ถึงกับยืนอมยิ้มแบบเขินๆ

และเมื่อถามอีกว่า นายเอกนิติ ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้วหรือยัง นายอนุทิน กล่าวว่า ยัง

เมื่อถามถึงเหตุผลที่มีแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคภูมิใจไทยเพิ่มขึ้นเพราะเหตุผลอะไร นายอนุทิน กล่าวว่า ก็เป็นไปตามความเหมาะสม และเป็นไปตามสถานการณ์ทางการเมือง พรรคมันน่าจะใหญ่ขึ้น มันก็ไม่ควรจะไปอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง

เมื่อถามอีกว่า เป็นคนนอกหรือคนใน นายอนุทินกล่าวว่า จีบอยู่ ก่อนจะบอกว่าเห็นไหมพอพูดเรื่องนี้ปุ๊บ ขอไปก่อนแล้วนะ ก่อนที่นายอนุทิน จะยิ้มและเดินออกจากไมค์สัมภาษณ์ และหันไปแตะแขนของ นายเอกนิติ และเดินตึกไทยคู่ฟ้า

แม้ว่าโดยสรุปรวมแล้ว นายเอกนิติ ยังไม่ได้ตอบรับ หรือปฏิเสธ ว่าจะยอมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ เพียงแต่ว่าหากพิจารณาจากท่าทีที่เห็นแล้ว ถือว่ามีความเป็นไปได้มากทีเดียว

อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันในภาพรวมๆ ของพรรคภูมิใจไทยเวลานี้ก็ต้องถือว่า มีขนาดใหญ่ขึ้นตามที่ นายอนุทิน ได้กล่าวเอาไว้ ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดความเคลื่อนไหวในแบบที่เรียกว่า “บ้านใหญ่” และ “กลุ่มก๊วน” การเมืองต่างไหลเข้าสู่พรรคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่า นี่คือการเพิ่มขนาดอย่างรวดเร็ว

การไหลเข้ามาดังกล่าว ย่อมต้องมีปัจจัยเป็นเหตุและผล จากความคาดหวังว่าหลังการเลือกตั้งคราวหน้า พรรคภูมิใจไทย จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รวมไปถึง มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี อีกครั้ง ในท่ามกลางสถานการณ์ถดถอยของพรรคเพื่อไทย และครอบครัว “ชินวัตร” ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังถูกต้อนเข้ามุมอับทุกวัน

นอกจากนี้ อีกด้านหนึ่งก็จะเห็นภาพการ “หยุดนิ่ง” ของพรรคประชาชน แม้ว่าจะมีผลการสำรวจออกมาอย่างต่อเนื่อง ระบุตรงกันว่า หลังการเลือกตั้งพรรคนี้จะยังเป็นพรรคที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดก็ตาม เพียงแต่ว่าจะไม่ใช่ลักษณะที่มีจำนวนมากถึงขนาด 200 ที่นั่งขึ้นไป มีการประเมินกันว่า น่าจะอยู่ราวๆ 100 กว่าๆ เท่านั้น และโอกาสที่จะได้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เป็นได้แค่ฝันเท่านั้น

ขณะที่ผลสำรวจที่ออกมายังปรากฏว่า ความนิยมของพรรคภูมิใจไทย และตัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล กลับเพิ่มขึ้นในทุกภาค โดยเฉพาะในระดับตัวบุคคลนั้น เขากำลังไล่เบียดขึ้นมา จนผลสำรวจบางภาค เช่น ในภาคอีสาน ความนิยมเขาเบียดชนะ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนไปแล้ว ขณะที่พรรคเพื่อไทย เวลานี้ถือว่าตกต่ำอย่างมาก ผลสำรวจอยู่ในระดับเลขตัวเดียวไปแล้ว ถือว่าแทบไม่อยู่ในระบบการแข่งขัน

เมื่อวกมาโฟกัสที่พรรคภูมิใจไทย กับโอกาสที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ จะเข้ามาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งอาจเป็นไปได้ ทั้งแบบเป็นแค่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคอย่างเดียว โดยไม่ต้องเป็นสมาชิกพรรคก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่สาระสำคัญจะอยู่ที่การมา “เติมเต็ม” ทางด้าน “มือเศรษฐกิจ” ของพรรคที่ถือว่า“ยังขาด” หรือว่าไม่เคยมีมาก่อน จนอาจเรียกได้ว่า เวลานี้พรรคภูมิใจไทยกำลัง “ยืม” ตัว ทั้งนายเอกนิติ หรือแม้แต่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ถูกทาบทามมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะเห็นว่า รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจเหล่านี้ ล้วนเป็นคนนอกที่ถูกดึงตัวมาทั้งสิ้น

แม้ว่า ลักษณะการดึงตัวมาดังกล่าว จะเป็นลักษณะ “สร้างภาพลักษณ์” และความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาล แต่ในความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ พรรคภูมิใจไทย “ไม่มีมือเศรษฐกิจ” ที่น่าเชื่อถือเลย ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทย ถูกมองด้วยสายตาว่าเป็น “พรรคต่างจังหวัด” มีฐานการเมืองแบบ “บ้านใหญ่” แม้เคยมีความพยายามเจาะพื้นที่ในกรุงเทพฯ มาต่อเนื่อง แต่ยังไม่เคยสำเร็จเลย

ดังนั้น หากสรุปแบบรวบรัด กับความพยายามทาบทาม นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนที่สอง ของพรรคภูมิใจไทย ความหมายก็คือมา “เติมเต็ม” เข้ามาเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ที่พรรคนี้ยังขาดอยู่ และถือว่า “วิน- วิน” กันทั้งสองฝ่าย นั่นคืออีกฝ่ายได้เครดิต ส่วนอีกฝ่ายก็จะได้แสดงบทบาทได้อย่างเต็มที่ ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ เพียงแต่ว่าเส้นทางข้างหน้า ยังต้องพิสูจน์ให้เห็นภาพชัดก่อน อย่างน้อยในช่วงสองสามเดือน ก็ต้องฉายแววความสำเร็จ ให้เกิดความหวังกับคนไทยเสียก่อน !!


กำลังโหลดความคิดเห็น