เมืองไทย 360 องศา
ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว สำหรับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และแม้ว่าจะมีเวลานั่งเก้าอี้เพียงแค่ 4+3 เดือน ที่ดูแล้วจำกัด แต่อีกด้านหนึ่งเขายังมีโอกาสสามารถสร้างคะแนนนิยมได้มากมาย โดยเฉพาะกับปัญหาเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ดำเนินการแบบ “ตามน้ำ” ได้เต็มที่ เหมือนกับเรื่องแรกที่เคยบอกว่าให้อำนาจกับกองทัพจัดกับปัญหาอย่างเต็มที่
แต่พอมาเจอกับเรื่อง “สแกมเมอร์” ศูนย์รวมความหลอกลวงทั้งหลาย ไม่ว่าการค้ามนุษย์ การฟอกเงิน ทั้งหลายแหล่ ที่เชื่อมโยงทั้งกัมพูชาและไทย กลับดูเหมือนว่า เขา “ไม่ค่อยขึงขัง” ดูไม่ค่อยชัดเจนจนสัมผัสได้ เหมือนกับว่า“มีอะไรบางอย่าง” ที่ต้องกังวล หรือ “เกรงใจ” ใคร หรือไม่
ปัญหา “สแกมเมอร์” ที่เวลานี้เวรกรรมกำลังตกอยู่กับกัมพูชา และ“สองพ่อลูก” ฮุน เซน กับ ฮุน มาเนต เพราะประเทศที่ไล่บี้ล้วนเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ มีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเกาหลีใต้
โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ได้ส่งรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ทั้งหน่วยข่าวกรอง ตำรวจมากันคณะใหญ่ มากดดันให้กัมพูชา ปราบปรามอย่างเข้มข้น หลังจากมีนักศึกษาเสียชีวิต รวมไปถึงอีกหลายคนที่ถูกกักขัง ถูกหลอก รวมไปถึงยังมีชาวเกาหลีใต้ ที่เป็นพวก “สแกมเมอร์” เป็นมิจฉาชีพอีกจำนวนหนึ่งด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องบีบให้จัดการอย่างเด็ดขาด มีการจับกุม ส่งตัวกลับประเทศไปแล้วหลายชุด
ขณะที่อังกฤษ กับสหรัฐอเมริกา มีการยึดทรัพย์กลุ่มบริษัท “ปริ๊นกรุ๊ป” ของ นายเฉินจื้อ ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาของ ทั้งพ่อทั้งลูก แถมเคยได้รับบรรดาศักดิ์เป็นถึง “ออกญา” กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีญาติใกล้ชิดของ นายฮุน เซน เช่น เนตร สะเวือน ฮุน โต เป็นต้น ก็ยังถูกขึ้นบัญชีดำ ยึดอายัดทรัพย์ เรียกว่าความเคลื่อนไหวแบบนี้ย่อมทำให้ นายฮุน เซน สะเทือนอย่างหนัก เพราะคนพวกนี้เหมือนกับเป็น “กระเป๋าเงิน” ของเขาและครอบครัวเลยทีเดียว
แน่นอนว่า เมื่อมีการเปิดโปงเรื่องสแกมเมอร์ หรือ ศูนย์รวมของความหลอกลวงทั้งหลายในกัมพูชา ในความเป็นจริงแล้ว “เนื้อใน” ของของความไม่ดีแบบนี้ย่อมต้อง “เชื่อมโยงมาถึงไทย” อยู่แล้ว แบบว่า “หลับตาก็ต้องเห็นภาพ” ได้ชัดเจนว่าต้องมีคนไทย ข้าราชการไทย นักการเมืองไทย เข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอนพันเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวชายแดน ที่มีแต่เรื่อง “เทาๆ” ทั้งสิ้น หลังจากก่อนหน้านี้มีการปราบปรามในแถบชายแดนไทยพม่า กันมาแล้ว
พอพูดถึงเรื่องชายแดนไทย-พม่า คราวนั้น หากยังจำกันได้เมื่อครั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถูกตำหนิในเรื่อง “ความเชื่องช้า” ในเรื่องการออกคำสั่ง ตัดไฟ ติดอินเตอร์เน็ต จนถูกวิจารณ์กันแบบย่อยยับมาแล้ว
คราวนี้ย้ายข้ามฝั่งมาทางชายแดนกัมพูชา ก็มาเจอลักษณะแบบเดียวกันอีก ทั้งที่ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ความเคลื่อนไหวในการจัดการในเรื่องสแกมเมอร์ ดูเหมือนยังไม่เต็มที่ ยั้งๆ เกรงใจพิกล
แม้ว่าตัวเองจะเป็นประธานบอร์ด ที่แก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวจากการแต่งตั้งกันไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ก็ยังไม่ทำให้คนเชื่อมั่นได้เต็มร้อยว่า“เอาจริง” ได้เลย เพราะยังมีความรู้สึก ช้าๆ ไม่ทันการณ์ หรือไม่เอาจริง ซึ่งก็ทำให้รู้สึกแปลกๆ ว่า ทำไมไม่จัดการให้เต็มที่ เพราะนี่คือการเรียกคะแนนนิยมได้ดีทีเดียว มิหนำซ้ำยังได้เครดิตจากชาวโลกเสียอีก
เพราะเวลานี้กระแสกำลังมาทางนี้กันแล้ว หลายประเทศกำลังตื่นตัว ไม่ต้องพูดถึง สหรัฐ อังกฤษ หรือเกาหลีใต้ ล่าสุด ใต้หวันได้ออกคำเตือนในสนามบินให้ระวัง “สแกมเมอร์” เตือนพลเมืองของเขาให้ระวังก่อนออกเดินทางไปประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เป็นศูนย์กลางพวกนี้ แบบว่าเตือนกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้งรูปภาพให้เห็นชัดเจน
ความรู้สึกที่มองเห็น นายอนุทิน ไม่จริงจังกับเรื่องนี้ มีพรรคการเมืองสองพรรค ที่เริ่มเคลื่อนไหวกดดันให้ดำเนินการโดยเร็ว ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาชน โดยพรรคหลังมีการขู่ว่า จะยื่นซักฟอกกันเลยทีเดียว
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ และนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม ยื่นหนังสือถึงประธานสภา เรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผ่านนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร
โดยนายธีระชัย กล่าวว่า ปัญหาสแกมเมอร์ในเวลานี้มีไปทั่วโลก ศูนย์กลางอยู่ในอาเซียนที่ล้อมรอบประเทศไทยเป็นหลัก และมีการยกระดับมาเป็นประเด็นของโลก โดยมีประเทศที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้ทั้ง สหรัฐฯ , อังกฤษ , เกาหลีใต้ , สิงคโปร์ , ญี่ปุ่น , และไต้หวัน แต่ประเทศไทยเคลื่อนไหวเรื่องนี้ช้ามาก ทั้งที่เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการอย่างครบวงจร และใช้มาตรฐานสากล ยิ่งทำให้โลกสงสัย เพราะมีนักการเมืองของไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ดังนั้นวิธีการที่จะป้องกันรัฐบาลต้องเดินหน้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะถ้าหากทำได้จะได้รับคำชมจากทางโลกวิธีการ คือ ต้องตัดขบวนการฟอกเงินผ่านประเทศไทย เข้าไปในประเทศรอบข้างให้ได้ โดยการตัดสัญญาณโดยตรงแม้จะตัดไปแล้ว แต่ยังต้องตัดสัญญาณทางอ้อมผ่านดาวเทียม รวมถึงสั่งห้ามส่งออกทองคำ ไปยังประเทศกัมพูชา หากนายกรัฐมนตรีไม่ดำเนินการ ก็จะต้องชี้แจงให้ได้
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน กดดันให้รัฐบาล นายอนุทิน รีบจัดการกับปัญหา สแกมเมอร์ และค้ามนุษย์ ที่เชื่อมโยงกับกัมพูชาโดยเร็ว และเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยเขายืนยันที่จะใช้กลไกผ่าน สส. และคณะกรรมมาธิการในการผลักดันเรื่องที่รัฐบาลควรดำเนินการให้ดำเนินการอย่างจริงจังมากขึ้น เพราะมองว่าเป็นการสร้างความเสียหาย มหาศาลให้ระดับโลก ไม่ใช่วาระของประเทศ ซึ่งนายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรคประชาชน และตนจะตรวจสอบเรื่องนี้
ส่วนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น ยังอยู่ในเงื่อนไขการพิจารณาของฝ่ายค้าน หากรัฐบาลยังไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โดยเฉพาะหากพบหรือมีข้อสงสัยว่าอาจมีความเกี่ยวพันหรือเกี่ยวโยงในฐานะผู้ร่วมกระทำความผิดด้วย หรือการสนับสนุนการกระทำความผิด หรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวทั้งใน และนอกประเทศ ที่กำลังล้อมกัมพูชาในเวลานี้ กลับกลายเป็นว่าอีกไม่นานก็คงหันมาล้อมประเทศไทยด้วย หากรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ยอมจัดการอย่างจริงจัง รวดเร็ว และเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ และที่สำคัญนี่คือ “โอกาส” ของเขาหากยังต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีอีก 4 ปี แต่ด้วยความทำอะไร “ไม่สุด” เหมือนกับกรณี “คนละครึ่ง” ที่ให้ไม่หมด ต้องแย่งกันวุ่นวาย จนคนที่ลงทะเบียนไม่ทันต้องด่ากันขรม เรื่องแบบนี้ทำไม ไม่ปล่อยเต็มร้อยไปเลย ไม่เข้าใจเหมือนกัน!!