เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้สายตาเริ่มละจากพรรคฝ่ายค้าน เริ่มหันเหความสนใจจากเรื่องถ้อยคำว่า เปลี่ยนแปลงแก้ไขจากคำว่า “ทักษิณ” ไปใช้คำอื่นแทน รวมไปถึงจะสรุปว่าเป็น “คนนอก” หรือว่าเป็นคนในกันแน่ น่าจะเลยอารมณ์นั้นไปมากแล้ว เพราะชาวบ้านย่อมรับกันแล้วว่าไม่ว่า จะใช้ชื่อแบบไหน ใช้สรรพนามอย่างไร ความหมายก็ย่อมเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า หมายถึงใคร
ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่าขณะนี้ได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฉบับแก้ไข ต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
โดยขีดฆ่าชื่อ นายทักษิณ ออกไป และคำว่า “ผู้เป็นบิดา” ออก แล้วเปลี่ยนเป็น “บุคคลในครอบครัว” แทน ทั้งนี้ เชื่อว่า ประธานจะบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่วาระโดยไม่มีปัญหาใดๆ และสามารถเปิดอภิปรายได้ในวันที่ 24 มี.ค. ตามข้อเสนอของรัฐบาล
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล โดย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณีที่ พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติฉบับแก้ไข โดยฆ่าชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกและใช้คำว่า “บุคคลในครอบครัว” แทน ว่า เรื่องนี้ริเริ่มโดยประธานสภาฯ ซึ่งท่านมีความเห็นว่า การใส่ชื่อบุคคลภายนอกไม่ถูกต้องควรไปปรับแก้ อันที่จริงในข้อบังคับไม่ได้เขียนว่า ห้ามเขียนชื่อ แต่ระบุเพียงห้ามกล่าวถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น ประธานสภาฯจึงใช้ดุลยพินิจว่า การใส่ชื่อนายทักษิณ เป็นการกล่าวชื่อบุคคลภายนอก เมื่อแก้ไปแล้วก็ยังเป็นดุลยพินิจของประธานสภาฯ ว่าจะเป็นอย่างไรหากบรรจุแล้วก็จบ เราไม่ใช่ผู้ตัดสิน
“ไม่มีปัญหาอะไร เป็นดุลยพินิจของประธานสภาฯ เมื่อบรรจุแล้วก็อภิปรายกันไป เราไม่ได้มีข้อท้วงติงอะไร ท้ายที่สุดแล้วถ้ามีปัญหาเช่นนี้ ก็อย่างที่ผมเคยเตือนแม้จะบรรจุวาระ แต่ในการอภิปรายก็จะเกิดประเด็นอีกว่า มีการกล่าวถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็นตามข้อบังคับ ส่งผลให้เกิดการประท้วงกันอีก แต่ข้อดีคือ เมื่อประธานสภาฯบรรจุ คงคิดว่าเรื่องนี้พออณุโลมกันได้ พูดกันได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร”
เอาเป็นว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว ก็คงได้อภิปรายกันในวันที่ 24 มีนาคม ตามที่เคยระบุกันก่อนหน้านี้ ส่วนใช้เวลากี่วัน กี่ชั่วโมง ก็คงนัดหารือกันเพื่อสรุปกันอีกทีในวันที่ 19 มีนาคม แต่เท่าที่ฟังดูแล้วคงได้ 30 ชั่วโมง แบ่งเป็นฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล 7 ชั่วโมง ก็ว่ากันไป เพราะหากว่ากันแบบ “เน้นๆ เนื้อๆ” แค่ชั่วโมงเดียวก็ “น็อก” หงายท้องได้อยู่แล้ว
ดังนั้น สิ่งที่ต้องโฟกัสกันนับจากนี้ก็คือ การเตรียมการรับมือ และมีประเด็นสำหรับการ “ซักฟอก” ว่าจะเข้มข้นเอาจริงเอาจังมากน้อยแค่ไหน
เริ่มจากฝ่ายรัฐบาล มีรายงานว่า น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้นัดหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล รับประทานอาหารค่ำ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือฝ่ายค้าน ก่อนเริ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในวันที่ 21 มีนาคม เวลา 18.00 น. ที่โรงแรมโรสวูด กรุงเทพ โดยการรับประทานอาหารร่วมกันครั้งนี้ ถือเป็นการรับประทานอาหารค่ำนัดพิเศษ ซึ่งมีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นเจ้าภาพ
เช่นเดียวกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการนัดทานข้าวพรรคร่วมรัฐบาล ในวันที่ 21 มีนาคมนี้ ยอมรับว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นคนนัดเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “เดี๋ยวก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจขอเจอกันอีกรอบหนึ่ง” ซึ่งการนัดกันครั้งนี้ จะเป็นวงเล็ก จะเจอกันเฉพาะหัวหน้าพรรค ไม่มีเลขาธิการพรรค แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ยังไม่ทราบรายละเอียด
แน่นอนว่า เมื่อโฟกัสไปที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่พุ่งเป้าไปที่ น.ส.แพทองธาร ในฐานะนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ทุกสายตาย่อมพุ่งเป้าไปที่เธออยู่แล้ว หลายคนอยากเห็นว่าเธอสามารถชี้แจงตอบคำถามฝ่ายค้านได้ดีแค่ไหน และที่ต้องบอกว่า ทุกสายตากำลังจ้องมอง เพราะว่าที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีถูกตั้งคำถามเรื่อง “ความรู้ความสามารถ” ถูกสงสัยเรื่องทักษะ ประสบการณ์ในการบริหาร เนื่องจากที่ผ่านมาก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็น “ลูกนายใหญ่” คือ นายทักษิณ
ขณะเดียวกัน ในช่วง 6-7 เดือน ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ยังไม่อาจลบข้อสงสัยเหล่านี้ลงได้เลย ตรงกันข้ามกับยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม มีข้อสังเกตทั้งเรื่องการตอบคำถาม ทักษะ ในการแก้ปัญหาในเรื่องยาก และมีความซับซ้อน เพราะทุกครั้งหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เธอจะไม่สามารถตอบคำถามในเรื่องมาตรการหลายอย่างที่เป็นเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง จนต้องมีบรรดารัฐมนตรี ยืนเป็นแบ็กกราวด์อยู่ข้าง คอยพูดแทนเมื่อเจอกับคำถามที่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ
หรือหากสังเกตจะเห็นว่าฉายา “นายกฯไอแพด” ยังคงติดตัวเธอไปตลอด เพราะเธอยังแถลงแบบท่องจำ แบบใช้ไอแพด ร่ายยาวในลักษณะคำต่อคำ ไม่ใช่จดจำหัวข้อแล้วอธิบายรายละเอียดเอาเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้หลายคนจับตากันว่าในการ “ซักฟอก” คราวนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังคงใช้วิธีการแบบเดิมในการตอบชี้แจงฝ่ายค้านในสภา หรือไม่ เพราะยังใช้วิธีการเดิมคือ “อ่านแบบนกแก้ว นกขุนทอง” ไปยาวๆ มันก็ยิ่งทำลายเครดิตของนายกรัฐมนตรี แบบเลี่ยงไม่ได้ และจะยิ่งทำลายความเชื่อมั่นลงไปมากกว่าเดิม เพราะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่มีชาวบ้านเฝ้ามองทั้งประเทศ
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งหากเธอสามารถทำหน้าที่ได้ดี มีวิธีการชี้แจงได้อย่างชัดเจน สามารถตอบข้อสงสัยได้เคลียร์ เชื่อว่าจะยิ่งสร้างความมั่นคงเพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี หากให้คาดเดากันไว้ล่วงหน้าสำหรับบรรยากาศในสภาวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ น่าจะออกมาในแบบวุ่นวาย เพราะจะมีบรรดา “องครักษ์” ที่ต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ จะมีการประท้วง เพื่อสกัดกั้นไม่ให้มีการพูดโจมตีทั้งตัว นายกรัฐมนตรี และตัว “พ่อนายกฯ” คือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่จะต้องทำหน้าที่ “พิทักษ์นาย” อย่างสุดความสามารถ อีกทั้งนั่นคือ ภารกิจที่ต้องทำ ไม่ว่าผลที่ออกมาจะกลายเป็นว่ายิ่งทำลายภาพลักษณ์ของ “อุ๊งอิ๊งค์” ให้แย่ลงไปอีกก็ตาม !!