เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าปีนี้ เป็นปีที่หนักหน่วงมากๆ สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวของเขา เพราะถือว่าพวกเขาสูญเสียในทุกด้าน ทั้งเรื่องอิสรภาพ ทรัพย์สิน ที่สำคัญคือต้องสูญเสีย “เครดิต” ทำให้ทุกอย่างต้องดิ่งลงอย่างหนัก เรียกว่า ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
ล่าสุด ศาลภาษีอากรกลาง ศูนย์ฯราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร จำเลยที่ 1 และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เรื่องขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่แจ้งให้ นายทักษิณจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาทให้กับกรมสรรพากร โดยอ้างว่าอ้างให้ “ โอ๊ค-เอม” ถือหุ้น วัตถุประสงค์ขาดคุณธรรมทางภาษี ส่งผลรัฐเก็บภาษีไม่ได้
ต่อมาศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ ที่ ภ 220/2563 หรือ คดีหมายเลขแดงที่ ภ 109/2565 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม2565 พิพากษาเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) เนื่องจากเห็นว่า เจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากร มิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ในฐานะตัวการ การออกหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ (ภ.ง.ด.12) จึงเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบ กรมสรรพากรกับพวกยื่นอุทธรณ์
ต่อมา ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร มีคำพิพากษาที่ 2819/2566 ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2566 พิพากษายืน ตามศาลภาษีอากรกลาง จากนั้นกรมสรรพากร กับพวกได้ยื่นฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาฯ ไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของกรมสรรพากรกับพวกจำเลยฟังขึ้น
โดยศาลฎีกาพิจารณาเเล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ปกปิดการถือหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ของตน โดยให้บุคคลอื่นรวมถึง นายพานทองเเท้ และนางสาวพินทองทา ถือหุ้นแทน เพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่ขาดคุณธรรมทางภาษี และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอน ตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่น ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
สรุปก็คือ เมื่อศาลฎีกาได้พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์ คดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร โจทก์ ยื่นฟ้องคดีทางแพ่ง กรมสรรพากร จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 4 คน เรื่องภาษีอากร จึงมีผลให้นายทักษิณ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรียกเก็บภาษีของกรมสรรพากรตามขั้นตอนกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท
ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง ยังมีกรณีที่ อัยการสูงสุด ได้ยื่นอุทธรณ์คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ นายทักษิณ ชินวัตร จากการให้สัมภาษณ์มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน กับสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558
ทั้งนี้ ศาลอาญายกฟ้องคดี ศาลให้เหตุผลว่าเนื่องจากมองว่า คนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอ ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจ และรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพ กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น ไม่ได้พาดพิงหรือสื่อความหมายถึงสถาบันว่าอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร การสืบพยานหลักฐานโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิด จึงรับฟังไม่ได้ยกฟ้อง
ขณะเดียวกัน สถานะในปัจจุบันของ นายทักษิณ อยู่ในฐานะนักโทษเต็มขั้น หลังจากถูกศาลสั่งให้บังคับโทษตามคำพิพากษา ให้จำคุก 1 ปี โดยเวลานี้เขาถูกจำคุกในเรือนจำคลองเปรม แม้ว่าเวลานี้เขาอยู่ในแดนผู้สูงอายุ และแดนพยาบาล เนื่องจากเข้าข่ายเกณฑ์ที่ผู้ต้องขังมีอายุเกิน 65 ปีแล้ว อย่างไรก็ดี มีการตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อมีการอุทธรณ์คดีความผิด มาตรา 112 ทำให้มีผลต่อการ “พักโทษ” ของเขาหรือไม่ เพราะยังมีคดีอื่นคาอยู่
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเวลานี้ สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ในปีนี้ถือว่า “หนักหน่วง” ที่สุดแล้ว ทั้งในเรื่องที่ต้องกลับมา“ติดคุก” มีสถานะเป็น “นักโทษ” ซึ่งสำหรับเขา ถือว่า “เสียหาย” เสียเครดิต จากเดิมที่เคยรับรู้มาว่า จะไม่ยอมให้ติดคุกแม้แต่วันเดียว แต่นาทีนี้ เมื่อคดี มาตรา 112 ที่อัยการสูงสุดอุทธรณ์ ถือว่าเขากลับมาอยู่ในความเสี่ยงขั้นสูงสุด นั่นคือ ความเสี่ยง “ติดคุก” เหมือนกับว่า กลับมา “ยืนบนเส้นด้าย” อีกครั้ง
แต่ที่สำคัญที่สุด สำหรับ นายทักษิณ นาทีนี้น่าจะเป็นคำพิพากษากลับของศาลภาษีอากรกลาง ที่มีความหมายให้เขาต้องจ่ายภาษีจำนวนถึง 1.76 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้นชินคอร์ป ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว ถือว่ามีจำนวนมาก และสำหรับ นายทักษิณ แล้ว งานนี้ถือว่าเสียหายมาก
แม้ว่าที่ผ่านมาบรรดาเครือข่ายที่สนับสนุนเขา จะพยายามชี้ให้เห็นว่า เขา “ถูกกระทำ” มีความเชื่อมโยงทางการเมือง โดยมองว่าเป็นการเตะตัดขา ไม่ให้เขาออกมา (พักโทษ) ในช่วงการเลือกตั้ง โดยเน้นไปที่การอุทธรณ์คดี มาตรา 112 แต่เชื่อว่าสำหรับ นายทักษิณ แล้ว กรณีคำพิพากษากลับให้เขาต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท นี่แหละ น่าจะทำให้เขาต้องมีอาการเต้นผางเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ดี นาทีนี้สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร แล้ว การที่ “โดน” คดีต่อเนื่องกัน ถือว่ามีผลกระทบทั้งเครดิตและอิสรภาพอย่างชัดเจน นั่นคือ ความเสี่ยงทั้งต้อง “ติดคุก” และความเสี่ยงกับการต้อง “เสียภาษี” เต็มจำนวน แม้จะพยายาม “บิด” ให้เป็นเรื่องทางการเมือง ที่มาตามสูตรว่า “ถูกกลั่นแกล้ง” ก็ตาม แต่สำหรับอารมณ์ของสังคมเวลานี้ ส่วนใหญ่กลับ “ไม่รู้สึกอิน” ตามนั้นอีกแล้ว ส่วนใหญ่หากตามส่องความรู้สึกคอมเมนต์ในโซเชียลที่ออกมา ในแนวที่ว่า “กรรมเริ่มทำงาน” เสียมากกว่า เอาเป็นว่า สำหรับเขาแล้ว ทุกอย่างดูไม่โสภาเอาเสียเลย !!


