เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะล่าสุด “แม่ทัพกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เพิ่งออกมาเปิดเผยว่า ในช่วงที่เริ่มมีการปะทะกับฝ่ายทหารกัมพูชา เวลาผ่านไปแค่ 6 ชั่วโมง ก็มีคำสั่งให้หยุดยิง ความหมายก็คือ “สั่งถอย” นั่นแหละ เพียงแต่ว่าโชคดีที่เวลานั้น “แม่ทัพกุ้ง” ไม่ยินยอม เนื่องจากต้องการยึดแผ่นดินคืนกลับมาให้ได้
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ร่วมกิจกรรม "สานต่อความดี : รับมอบรางวัลเชิดชูเกียรติอันทรงเกียรติ พลังขับเคลื่อนการบรรยายพิเศษเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่" ที่ พุทธสถานปฐมอโศก อ.เมืองฯ จ.นครปฐม
พล.ท.บุญสิน ได้กล่าวถึงการสู้รบกับกัมพูชาช่วงวันที่ 24-28 กรกฎาคม ว่า หลังจากรบวันแรกได้เพียง 6 ชั่วโมง ก็มีคำสั่งจากผู้ใหญ่ให้หยุดยิง แต่ตนได้บอกกลับไปว่า หยุดไม่ได้เพราะได้สตาร์ทแล้ว ขอไปต่อหลายวัน ผู้ใหญ่คนนั้นก็เลยตั้งหลักใหม่ เพราะถ้าหยุด ตนต้องออกมาพูดว่าใครสั่งให้หยุด แล้วเขาจะอยู่ไม่ได้ เพราะตนจะเอาแผ่นดินคืน คนที่สั่งให้หยุดจะมีโทษประหาร
พล.ท.บุญสิน กล่าวอีกว่า สาเหตุที่สั่งให้หยุดเพราะผิดแผนเขมร เขมรเคยทำแบบนี้แล้วเข้าทางเขา เอาเรื่องขึ้นศาลโลก อ้างว่าประเทศไทยบุก มีคนตาย เพราะฉะนั้นเขาจะประท้วง เอา 3 ปราสาท กับ 1 พื้นที่ แต่ตนรู้แผน ไม่ยอมให้สามพื้นที่และขอเอาเพิ่มอีก
อย่างไรก็ตาม อาจมองในแง่บวกได้ว่า ผู้ใหญ่บ้านเราอาจจะกลัวสูญเสีย กลัวลูกน้องเราบาดเจ็บเสียชีวิต แต่ตนคิดต่าง อยากเอาพื้นที่คืน ที่เขาเข้ามาอยู่นาน เช่น ภูมะเขือ และอยากปิดปราสาทตาเมือนธม ให้เด็ดขาด ไม่ต้องให้ขึ้นมาอีก
ส่วนปราสาทตาควายก็ต้องการยึดคืน แต่ตอนนั้นโยกกำลังมายึดภูมะเขือก่อน พอจะโยกมาที่ปราสาทตาควาย ก็หมดเวลาพอดี แต่ก็ตรึงกำลังประจันหน้ากันอยู่ เตรียมพร้อมเมื่อได้ไฟเขียว และตนยังอยู่ในพื้นที่ จน 2 วันก่อนเกษียณ และได้รับคำสั่งให้กลับเพื่อไปส่งธงให้แม่ทัพคนใหม่
“6 ชั่วโมง ให้หยุดครับ เขาขอร้องให้หยุดเลย ตั้งแต่เริ่มปะทะกันปุ๊บ ให้หยุดเลย แต่ผมไม่หยุด เพราะผมสตาร์ทแล้ว ผมขอร้องผู้บังคับบัญชาว่า ไม่หยุดครับ ผมขอต่อรองไปหลายวัน บวกลบคูณหาร ขออย่างนี้ได้ไหม ผมบอกไม่ได้ครับ ผมไปต่อก่อน เพราะว่าผมเข้าเกียร์หนึ่งแล้ว เขาก็ไปตั้งหลักใหม่ ถ้าหยุดผมต้องออกมาพูดว่า ใครสั่งให้หยุด แล้วเขาจะอยู่ไม่ได้ครับ เพราะว่าผมจะเอาแผ่นดินคืน แล้วคุณมาหยุดนี่ นั่นคือโทษประหารคุณเลยทีเดียวนะครับ” คำพูดที่เป็นประเด็น สำคัญของ พล.ท.บุญสิน
ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งในเวลานั้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกลาโหม ทำหน้าที่ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกลาโหม ชี้แจงว่า ไม่ทราบว่าคนที่สั่งหยุดยิง หมายถึงใคร “แต่ผมไม่เคยโทรไปสั่งแบบนั้นเลย เพราะตอนนั้น เราเข้าใจสถานการณ์ดีว่า มันจำเป็นที่จะต้องจัดการให้เด็ดขาด เรามีแต่สนับสนุน ในฐานะกองหลัง ให้จัดการเต็มที่ เอาให้จบ ไม่เคยไปขัดขวาง หรือสั่งหยุดยิง แต่อย่างใด
“ตรงกันข้าม ต่อมาผมเองยังสนับสนุนให้แม่ทัพกุ้ง ทวงคืนปราสาทตาควายให้ได้ ก่อนเกษียณด้วยซ้ำ ตอนนั้นคุยกันมี ผบ.ทบ.อยู่ด้วย เพราะกองทัพก็หาจังหวะที่เหมาะสมอยู่ แต่ที่สุด สถานการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้น มาตอนนี้ ผมจึงตั้งใจที่จะทวงคืนประสาทตาควายให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แต่อย่างที่บอกว่า จะต้องใช้สันติวิธีก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเจรจา หรือการปักปันเขตแดน แต่หากไม่สำเร็จ ผมก็ไม่ปฏิเสธเรื่องของการใช้กำลัง” พล.อ.ณัฐพล กล่าว
แน่นอนว่าการเปิดเผยข้อมูล “สุดช็อก” ดังกล่าวจากปากของ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ทำให้ทุกสายตาจ้องมองไปที่ “เป้าหมายสำคัญ” อีกครั้ง พร้อมกับโฟกัสให้เห็นว่า ในช่วงที่เกิดการปะทะกันในช่วงเวลานั้นอยู่ในช่วงที่ใครเป็นรัฐบาล และใครเป็นนายกรัฐมนตรี หรือใครเป็น “รักษาการ” นายกรัฐมนตรี แน่นอนว่าภาพที่เกิดขึ้นย่อมต้องชี้ไปที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และยังเป็นช่วงที่เกิด “คลิปหลุดอังเคิล” จนทำให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต้องหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องสูญเสียความนิยมอย่างหนัก
สถานการณ์ร้อนแรงขึ้นไปอีก เมื่อตอนสายวันที่10 พฤศจิกายน มีรายงานมีทหารไทย เหยียบกับระเบิดในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 บริเวณ “ห้วยตามาเรีย” จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้ได้รับบาดเจ็บสองนาย โดยหนึ่งในนั้นขาขาด บาดเจ็บสาหัส สำหรับ ห้วยตามาเรีย เป็นพื้นที่หุบเขา อยู่ระหว่างภูมะเขือ กับเขาพระวิหาร
เหตุการณ์ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิด หรือกับระเบิด ทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมาทันที เพราะผลจากกรณีดังกล่าว ทำให้รัฐบาลได้สั่งให้หยุดปฏิบัติตามข้อตกลงที่นำไปสู่สันติภาพแบบไม่มีกำหนด
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลยอมรับไม่ได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี สนับสนุนในการดำเนินการทุกอย่างแก่กองทัพ และการดำเนินการตามข้อตกลง Joint declaration ที่ดำเนินมาแล้วกว่า 1 สัปดาห์ ให้หยุดไปก่อน ดังนั้นการดำเนินการ ที่มีความกังวลว่า จะมีการปล่อยเชลยศึก ในวันที่ 12 พฤศจิกายน นั้น เรื่องนี้ก็ต้องหยุดไปก่อนเช่นกัน
ดังนั้น ขอให้ประชาชนได้มีความมั่นใจว่า รัฐบาลไม่มีการอ่อนข้อ และไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ กับประเทศกัมพูชา และยืนยันว่า สิ่งที่รัฐบาลมุ่งหวัง คือให้ประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ให้เร็วที่สุด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ความเป็นปฏิปักษ์ไม่ได้ลดลง ดังนั้น การดำเนินการใดๆ ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องหยุดชะงัก และต้องมาเคลียร์เรื่องนี้ก่อน
แน่นอนว่า เมื่อสองกรณีเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน หรือว่า “รับรู้” ในเวลาไล่เลี่ยกัน และกลายเป็นเรื่องเดียวกัน และรับรองว่า ย่อมส่งผลกระทบไปถึงพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง หากย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดของ “แม่ทัพกุ้ง” เรื่องมีคนสั่งให้ “หยุดรบเขมร” เป็นช่วงเวลาของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ มีนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้ชัด ว่าใครเป็นคน “สั่งหยุด” จริงหรือไม่
ขณะเดียวกัน กรณีที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 เพิ่งเหยียบกับระเบิดขาขาดเป็นรายล่าสุด ทำให้คำถามตกไปอยู่กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จากกรณีที่ไปลงนามปฏิญญาที่จะนำไปสู่สันติภาพก่อนหน้านี้ นำไปสู่ความล้มเหลว ด้วยหรือไม่
เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลบอกว่าทางฝ่ายกัมพูชาได้ทำตามข้อตกลงตามเงื่อนไข 4 ข้อแล้ว และกำลังจะมีการส่งมอบเชลยศึกกัมพูชา จำนวน 18 คน คืนกลับไปในที่วันที่ 18 พฤศจิกายน นี้ จนในที่สุดก็ต้องยกเลิก และต้องกลับมาประท้วงกัมพูชาอีกรอบ จากการละเมิดข้อตกลง
ดังนั้นทั้งสองกรณีที่เชื่อมโยงกับชายแดนไทย-กัมพูชา และความสัมพันธ์สองประเทศหลังจากมีการลงนามในปฏิญญาเพื่อนำไปสู่สันติภาพไปแล้ว ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นาทีนี้ถือว่า ภัยคุกคามจากฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ลดลงเลย สวนทางกับความคาดหวังของ นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ขณะเดียวกัน จากกรณี “สั่งหยุดรบเขมร” กำลังกลับมาร้อนแรงอีกรอบ ซึ่งทั้งสองกรณีกำลังสร้างแรงกดดันให้กับทั้งสองรัฐบาลในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ถือว่าเสี่ยงกับ “หายนะ” ทั้งคู่ !!


