โฆษกกระทรวงต่างประเทศเผย “สีหศักดิ์” ติดต่อ “ปรัก สุคน“ เพื่อประท้วงแล้ว เหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาด ชี้ทำให้ปฏิญญาสันติภาพถอดถอย ไทยขอระงับการปฏิบัติไว้ก่อน ยังไม่ได้ยกเลิก เตรียมฟ้องอนุสัญญาออตตาวาอีกครั้ง พร้อมแจ้งสหรัฐฯ-มาเลเซีย ในฐานะผู้สังเกตการณ์ เล็งกำหนดท่าทีชัดเจนอีกครั้งหลังประชุม สมช.พรุ่งนี้ อาจต้องเจรจาใหม่ หรือแก้ไขบางกรณี
วันนี้ (10 พ.ย.68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะที่ปฎิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทาง ทำให้บาดเจ็บขาขาด 1 นาย มีอาการแน่นหน้าอก 1 นาย ว่า กระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บ โดยในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ มีเรื่องชี้แจงใน 3-4 ประเด็น ได้แก่
ประเด็นแรก เรื่องของการประท้วง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขณะนี้ฎิบัติราชการอยู่ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้ติดต่อกับนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ซึ่งได้ทำการประท้วงแล้วว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์ หรือความตั้งใจทั้ง 2 ฝ่ายตามถ้อยแถลงร่วม หรือ Joint Declaration ซึ่งเป็นผลหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยและนายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งในวันนี้กระทรวงการต่างประเทศ กำลังมีหนังสือประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
ประเด็นที่สอง เรื่องการปล่อยตัว 18 เชลยศึกกัมพูชา ตามที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อช่วงเช้า ซึ่งฝ่ายไทยจะชะลอการส่งตัวนายทหารกัมพูชาทั้ง 18 คนออกไปก่อน จนกว่าจะมีความชัดเจนมากกว่านี้
ประเด็นที่สาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฝ่ายไทยจะดำเนินการตามกฏหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินการตามอนุสัญญาห้ามระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ตามที่ไทยเคยประท้วงผ่านอนุสัญญาออตตาวา มาหลายครั้งแล้ว ซึ่งทั้งนี้ก็จะดำเนินการอีกเช่นกัน
โดยวันพรุ่งนี้ (11 พ.ย.) จะมีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ และการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายสีหศักดิ์ก็จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมตามปกติ และในช่วงบ่ายนายสีหศักดิ์ก็จะติดตามนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเยี่ยมนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และรับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นฝ่ายไทยก็จะทำการประเมินต่อไปว่ามาตรการต่าง ๆ จะมีการดำเนินการอย่างไร
นายนิกรเดช กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ถือเป็นการถดถอย หรือ Set back หรือ การหยุดชะงักของการดำเนินการตามข้อตกลงใน Joint Declaration ตามที่นายกรัฐมนตรีแจ้งให้สัมภาษณ์ไปเมื่อช่วงเช้า ซึ่งเราจะชะลอการดำเนินการ และจะมีการพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน ในการประชุม สมช.ในวันพรุ่งนี้ (11 พ.ย.) เพื่อให้เห็นความชัดเจนในการดำเนินดำเนินการตามกรอบ Joint Declaration ว่า เราจะทำอะไรต่อไป
เมื่อถามว่า การระงับดังกล่าวจะมีผลกระทบด้านการทูตหรือไม่ โดยเฉพาะต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในวันลงนาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ขณะนี้ไทยเพียง “ระงับการปฏิบัติไว้ก่อน” ยังไม่ใช่การยกเลิก และยังไม่มีการดำเนินการใดที่ขัดต่อข้อตกลงเดิม แต่จำเป็นต้องสงวนสิทธิ์ไว้ระหว่างรอข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม และ รมว.ต่างประเทศ จะรับฟังข้อมูลทั้งหมด และจะมีการประกาศท่าทีของรัฐบาลอีกครั้ง
ด้านการสื่อสารไปยังประเทศผู้สังเกตการณ์ในวันลงนาม ทั้งสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย นายนิกรเดช ยืนยันว่า “มีแน่นอน” และไทยจะส่งหนังสือแจ้งเพื่อชี้แจงสถานการณ์อย่างเป็นทางการ
ส่วนประเด็นระงับการผ่อนผันต่ออายุแรงงานกัมพูชา ในไทย โฆษกฯ ระบุว่า ยังต้องรอประเมินข้อเท็จจริงในที่ประชุมวันพรุ่งนี้ เนื่องจากขณะนี้ข้อมูลยังไม่สมบูรณ์ 100% แต่ย้ำว่า หนึ่งในข้อเท็จจริงที่ยืนยันแล้วคือมีทหารไทยบาดเจ็บขาขาดจากการเหยียบทุ่นระเบิด ซึ่งการประท้วงและตอบโต้ทางการทูตจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน — เพียงแต่ระดับความเข้มข้น ต้องพิจารณาอีกครั้งหลังได้ข้อสรุปทั้งหมด
เมื่อถามว่า การเจรจาจะกลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์ และนับหนึ่งใหม่หรือไม่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นตัวบ่งชี้ทุกอย่างว่า ทุ่นระเบิดถูกวางใหม่หรือไม่ หรืออยู่ในพื้นที่ที่อยู่ระหว่างการเก็บกู้ ซึ่งเป็นการยกตัวอย่าง เพราะยังไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่ว่าไม่สามารถบอกเราจะสามารถเจรจาต่อได้ อาจจะต้องเริ่มใหม่ หรือเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ อาจจะต้องแก้ไขรายกรณี และเจรจากันต่อไป ซึ่งขออดใจรอดู ผลสรุปของการประชุม สมช.ในวันพรุ่งนี้ ช่วงเวลาประมาณ 08.30 น.


