นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่มีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทาง ส่งผลให้มีทหารบาดเจ็บ 2 นาย ซึ่งหนึ่งในนั้นข้อเท้าขวาขาด
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บ โดยในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ มีเรื่องจะชี้แจงใน 3-4 ประเด็น
ประเด็นแรก เรื่องของการประท้วง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้ไปปฏิบัติราชการอยู่ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้ติดต่อกับนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศกัมพูชา ซึ่งได้ทำการประท้วงแล้วว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์ หรือสปิริต ของความตั้งใจทั้งสองฝ่ายตามถ้อยแถลง หรือ Joint Declaration ซึ่งเป็นผลหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และนายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งในวันนี้กระทรวงการต่างประเทศกำลังมีหนังสือประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
ส่วนเรื่องของ 18 เชลยศึกกัมพูชา ตามที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อช่วงเช้า ซึ่งฝ่ายไทยจะชะลอการส่งตัวนายทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวทั้ง 18 คน ออกไปก่อน จนกว่าจะมีความชัดเจนมากกว่านี้
ประเด็นที่ 3 คือการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฝ่ายไทยจะดำเนินการตามกฏหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินการตามอนุสัญญาห้ามระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ตามที่ไทยเคยประท้วงผ่านอนุสัญญาออตตาวามาหลายครั้งแล้ว ซึ่งครั้งนี้ก็จะดำเนินการอีกเช่นกัน
โดยวันพรุ่งนี้ (11 พ.ย.68) จะมีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. และการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายสีหศักดิ์ ก็จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุมตามปกติ และในช่วงบ่ายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะติดตามนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเยี่ยมนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และรับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นฝ่ายไทยก็จะทำการประเมินต่อไปว่า มาตรการต่างๆ จะมีการดำเนินการอย่างไร
ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าว ถือเป็นการถดถอยต่อการดำเนินการตามข้อตกลง ซึ่งเรียกว่าเป็นการ Set back หรือ การหยุดชะงัก ที่นายกรัฐมนตรีแจ้งให้สัมภาษณ์ไปเมื่อช่วงเช้า ซึ่งเราจะชะลอการดำเนินการ และจะมีการพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน ในการประชุม สมช. วันพรุ่งนี้ (11 พ.ย.68) เพื่อให้เห็นความชัดเจนในการดำเนินดำเนินการตามกรอบ Joint Declaration ว่า เราจะทำอะไรต่อไป
เมื่อถามว่า การระงับ Joint Declaration ส่งผลกระทบต่อทางการทูตหรือไม่ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่ในวันลงนามก็อยู่ร่วมเป็นสักขีพยาน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ข้อเท็จจริงตอนนี้คือเราระงับชั่วคราว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร ที่ไปขัดต่อถ้อยแถลงร่วม แต่เหมือนว่าเราสงวนสิทธิ์ระหว่างหาข้อเท็จจริง ทำให้เราไม่อยู่ในภาวะที่จะต้องดำเนินการตามกรอบแล้ว เชื่อว่าวันพรุ่งนี้ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร ทุ่นระเบิดเป็นอย่างไร เราจะมีการประกาศอีกครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไปแล้ว ซึ่งเป็นการสงวนสิทธิ์ และข้อยุติการดำเนินการตามถ้อยแถลง
ส่วนจะมีการทำหนังสือไปยังสหรัฐอเมริกา หรือมาเลเซีย ที่เป็นผู้สังเกตการณ์ในวันลงนามหรือไม่ เพื่ออธิบาย และชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายนิกรเดช ระบุว่า มีแน่ เพราะเป็นผู้สังเกตการณ์ หรือ Observer ก็ต้องมีการแจ้งเพื่อให้ทราบแน่นอน
ส่วนที่มีการระงับการผ่อนผันแรงงานชาวกัมพูชาที่อยู่ในประเทศไทย นายนิกรเดช กล่าวว่า ทุกอย่างขอนำหารือในวันพรุ่งนี้ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ข้อเท็จจริงต่างๆ ยังมีมาหลายทาง และยังไม่มีข้อสรุป 100% ว่า เหตุการณ์ที่เกิดคืออะไร ซึ่งแน่นอนว่า ข้อเท็จจริงประการหนึ่ง คือ มีทหารไทยบาดเจ็บขาขาดจากการเหยียบทุ่นระเบิด ดังนั้นการประท้วงเกิดขึ้นแน่ ซึ่งเราจะดำเนินการหนักแค่ไหนมากกว่า ที่เราต้องมานั่งประเมินกัน ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งข้อเท็จจริงจะปรากฏออกมาชัดเจนมากยิ่งขึ้น และจะเป็นการส่งผลต่อการดำเนินการของฝ่ายไทย รวมถึงเรื่องการระงับ การต่ออายุแรงงานชาวกัมพูชาด้วย
เมื่อถามว่า การเจรจาจะกลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์ และนับหนึ่งใหม่หรือไม่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นตัวบ่งชี้ทุกอย่างว่า ทุ่นระเบิดถูกวางใหม่หรือไม่ หรืออยู่ในพื้นที่ที่อยู่ระหว่างการเก็บกู้ ซึ่งเป็นการยกตัวอย่าง เพราะตนยังไม่ทราบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม ขอให้อดใจรอดูผลสรุปของการประชุม สมช. ในวันพรุ่งนี้ ช่วงเวลาประมาณ 08.30 น.


