“วรภัค” เผย รัฐบาลไม่ได้กดดันให้ลาออก รมช.คลัง แต่เพื่ออิสระในการตรวจสอบ เผย รู้จัก “เบน สมิธ” เพราะลูกเรียนที่เดียวกัน ยืนยันความบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้อง พัวพันกับแก๊งหลอกลวงต้มตุ๋น ฟอกเงิน และธุรกิจผิดกฎหมาย ประเทศกัมพูชา
วันนี้ (22 ต.ค.) นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง แถลงชี้แจงข้อเท็จจริงจากข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงใส่ร้ายป้ายสี ว่า พัวพันกับแก๊งหลอกลวงต้มตุ๋น ฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมาย ประเทศกัมพูชา
นายวรภัค กล่าวว่า ด้วยมีข่าวบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีกระผม พัวพันกับแก๊งหลอกลวงต้มตุ๋น ฟอกเงิน และธุรกิจผิดกฎหมายกัมพูชา โดยระบุว่า ได้ขอแจ้งลาออกจากตำแหน่งรมช.คลัง ซึ่งได้มีการเกริ่นไปยังนายกรัฐมนตรี และแจ้ง นายเอกนิติ รองนายกฯ และรมว.คลัง ให้รับทราบแล้ว โดยจะมีการยื่นหนังสือลาออกเป็นทางการในวันนี้
ทั้งนี้ ยืนยันว่า การลาออก ไม่ได้ถูกกดดันจากรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรี ให้ลาออกเพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาล แต่ต้องการให้เกิดความอิสระในการตรวจสอบ อีกทั้งเรื่องนี้ ก็มีการลุกลามบานปลาย มากล่าวหาถึงภรรยา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร อีกทั้งก่อนมารับตำแหน่งทางการเมือง ภรรยาก็ไม่อยากให้เข้ามาทำหน้าที่อยู่แล้ว ซึ่งหลังจากลาออกแล้ว ตนก็พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริง ยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และก็จะมีการดำเนินคดีทางกฎหมาย กับผู้บิดเบือนและเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริง โดยเฉพาะ นายทอมไลฟ์ และผู้ที่นำข้อมูลเหล่านั้นมาเผยแพร่ต่อ
ทั้งนี้ นายวรภัค ชี้แจงรายละเอียดว่า กระผมขอเรียนการชี้แจง ดังนี้
1. ประวัติและภูมิหลังการทำงาน
กระผม นายวรภัค ธันยาวงษ์ มีประสบการณ์ในแวดวงการเงินและธนาคารมากกว่า 30 ปี เป็นหนึ่งในคนไทยที่ได้รับโอกาส และความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในสถาบันการเงินชั้นนำ ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ Bank of America (ประเทศไทย) อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ J.P. Morgan Chase (ประเทศไทย) อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) (จนถึงปี 2559) ต่อมาภายหลังจากเกษียณจากงานประจำตอนอายุ 52 ปี กระผมได้อุทิศตนทำงานด้านองค์ความรู้ เขียนบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเงินการธนาคาร มาอย่างต่อเนื่องหลายปี และได้รับเชิญเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก
ในปี พ.ศ. 2567 กระผมได้รับเกียรติแต่งตั้งเป็นประธานคณะที่ปรึกษาของรองนายกฯ และรมว.คลัง (นายพิชัย ชุณหวชิร) และต่อมาในปี พ.ศ. 2568 กระผมได้รับเกียรติให้เข้ารับตำแหน่งรมช.คลัง ในรัฐบาลปัจจุบัน เพื่อทำงานรับใช้ประเทศชาติ
โดยที่กระผมไม่เคยมีความทะเยอทะยานทางการเมืองแต่อย่างใด มีเพียงความมุ่งมั่นในการใช้ความรู้ความสามารถให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวมเป็นสำคัญเท่าที่จะทำได้
2. ข้อเท็จจริงกรณีการพาดพิงผมกับ “Cambodian scammers” การฟอกเงิน และธุรกิจผิดกฎหมาย
เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเผยแพร่ข่าวใส่ร้ายป้ายสี บิดเบือนข้อเท็จจริง ที่พยายามเชื่อมโยงชื่อของกระผมกับเครือข่ายที่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการ Cambodian scammers ในการนี้ กระผมขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
2.1) ข้อกล่าวหาเรื่องความเกี่ยวข้องกับขบวนการ หลอกลวงต้มตุ๋นหรือที่เรียกว่า scammers ในประเทศกัมพูชานั้น กระผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นหรือธุรกิจผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในประเทศกัมพูชา หรือประเทศอื่นใดทั้งสิ้น
สำหรับกรณีที่มีความพยายามเชื่อมโยง BIC Group และ BIC Bank Cambodia ให้เกี่ยวข้องกับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋น ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น กระผมไม่อาจทราบได้ และคงต้องให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ทั้งนี้ กระผมไม่สนับสนุนธุรกรรมผิดกฎหมายและจะไม่ปกป้องผู้ที่ทำผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
โดยส่วนตัวที่เคยพบกับผู้บริหารของ BIC Bank ที่เป็นประธานกรรมการของธนาคารนี้ ชื่อ Mr. Leak Yim แต่กระผมไม่เคยเป็นกรรมการ กรรมการบริหาร หรือที่ปรึกษาใดๆ ของ BIC Bank Cambodia และไม่เคยรับเงินหรือผลตอบแทนใดๆ ซึ่งการที่มีการนำรูปของกระผม และชื่อไปลงเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มธนาคารนั้น กระผมไม่เคยรับทราบมาก่อน ส่วน Mr. Benjamin Mauerberger นั้น กระผมได้รู้จักกับ Mr. Benjamin เนื่องจากลูกของกระผม เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันในประเทศไทย แต่กระผมก็ไม่เคยทราบลึกๆ ว่า Mr. Benjamin ประกอบธุรกิจอะไร อย่างไร หรือมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างไรกับ Mr. Leak Yim เพราะกระผมกับ Mr. Benjamin เป็นผู้ปกครองนักเรียนวัยเดียวกัน ชั้นเดียวกัน โรงเรียนเดียวกันเท่านั้น
2.2) ข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นตัวแทน (Nominee) เชื่อมโยงกับบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (Finansia Syrus : FSS) ผ่าน Pilgrim Finansa ในปี พ.ศ. 2564 กระผมได้เข้าซื้อหุ้น 29% ของ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทุกประการ ซึ่งเป็นการซื้อกิจการในลักษณะที่เรียกว่า management buy out
อีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้บริหารที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารกิจการของบริษัทนั้น ๆ (คือกระผม และคุณช่วงชัย) เห็นโอกาสในการซื้อหุ้นราคาเหมาะสมเพื่อมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทเติบโตและมีกำไรสูงขึ้นเพื่อราคาหุ้นที่ดีขึ้นในอนาคตและมีผู้สนับสนุนทางการเงิน อาทิ ธนาคารหรือกองทุนที่มองเห็นว่าหุ้นที่ซื้อมาราคาไม่แพงและมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต คุ้มกับความเสี่ยงในการสนับสนุนทางการเงิน ซึ่งธุรกรรมการกู้เงินมาซื้อหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นี้ เป็นเรื่องปกติถ้าธนาคารหรือผู้กู้เข้าใจมูลค่าหุ้นที่นำมาเป็นหลักประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น 29% ที่กระผมและคุณช่วงชัยซื้อมา ถือว่าเป็น controlling stake ของบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาด (Market share) ขณะนั้นเป็นอันดับสองของประเทศไทย รวมทั้ง บริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่าที่เป็นวานิชธนกิจ อันดับต้นๆ ของประเทศไทย มาอย่างยาวนาน
กระผมและคุณช่วงชัย (CEO) ซื้อหุ้นผ่านบริษัท Pilgrim Finansa (ถือหุ้นร่วมกันในสัดส่วน 60 : 40) และทำ Mandatory Tender Offer ตามกฎหมายในการซื้อหุ้นในครั้งนั้น กระผมได้รับวงเงินสนับสนุนสองส่วน คือส่วนที่ซื้อหุ้นและส่วนที่ต้องเตรียมทำคำเสนอซื้อหุ้น (tender offer) ซึ่งส่วนแรกเป็นเงินกู้จากกองทุนในสิงคโปร์ชื่อ Capital Asia Investment (CAI) เป็นบริษัทจัดการกองทุน ภายใต้การกำกับดูแลของ MAS ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสิงคโปร์ และส่วนที่สอง จาก BIC Bank Lao (ซึ่งเป็นธนาคารที่ถือหุ้น 70% โดยกลุ่มธุรกิจชาวลาว ชื่อ “Asia Investment and Financial Services Sole Co., Ltd.” และอีก 30% โดยบริษัทการไฟฟ้าลาว) เพื่อเตรียมการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่น ทั้งนี้ วงเงินจาก BIC Laos เป็น standby facility เพื่อทำ tender แต่เนื่องจากไม่มีผู้มาขายใน tender จึงไม่มีการใช้วงเงินนี้
BIC Bank Lao และ BIC Bank Cambodia มีความเกี่ยวพันมาอย่างไรจากในอดีต ถึงใช้ชื่อคล้ายกันนั้น กระผมไม่ทราบ กระผมทราบแต่เพียงว่าในปัจจุบันนั้น ความเป็นเจ้าของและการบริหารจัดการนั้นแยกกันเด็ดขาด BIC Bank Lao ดำเนินกิจการมานานแล้ว เป็นธุรกิจธนาคารที่ค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาวและบริษัทการไฟฟ้าลาว และเท่าที่หาข้อมูลได้ BIC Bank Cambodia ที่อยู่ในประเทศกัมพูชานั้น ถือหุ้นใหญ่โดย บริษัท Apsara Holdings 99% และ Mr. Yim Leak 1%
หลังจากกระผมและคุณช่วงชัยเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ในปี พ.ศ. 2564 กระผมและคุณช่วงชัย ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างบริษัทโดยจ้างMcKinsey & Co. เป็นที่ปรึกษา เพื่อทำ Digital Transformation พัฒนาให้เป็นองค์กรดิจิทัล แต่การปรับปรุงองค์กรไม่เร็วอย่างที่กระผมคาด จนเมื่อปลายปี พ.ศ. 2567 กระผมได้ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้กับคุณช่วงชัย หุ้นส่วนเดิมของกระผม และลาออกจากตำแหน่งกรรมการทุกตำแหน่งในบริษัท หลังจากนั้นกระผมไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใด ๆ ในการถือหุ้นหรือในการบริหารบริษัท Finansia อีก
ส่วนคุณช่วงชัย ขายหุ้นให้ใครหรือมีการเพิ่มทุนอีกหรือไม่ ผมเองก็ไม่ได้ติดตามข่าว ซึ่งการที่บุคคลใดจะนำชื่อของผมในอดีตไปเชื่อมโยงกับบุคคลหรือเครือข่ายใดในภายหลัง ดังนั้น การคาดเดากล่าวอ้างหรือกล่าวเท็จเรื่องในความคิดตัวเองว่ากระผมเป็น Nominee หรือเป็นฟันเฟืองสำคัญของกระบวนการ scammer ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ ขบวนการใส่ร้ายป้ายสีกระผมล่าสุด ยังได้เหิมเกริม ใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จกับภรรยาของกระผม ว่าได้รับผลประโยชน์เป็นเงินคริปโต จำนวนหลายล้านเหรียญ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด กระผมขอยืนยันว่า ภรรยาของกระผมไม่เคยมีบัญชีคริปโตใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งในอดีตและปัจจุบัน และไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย
3. จุดยืนส่วนตัวและทางการเมือง
กระผมปฏิเสธข้อกล่าวหา ใส่ร้าย ป้ายสี ทั้งหมดอย่างชัดเจนว่า ไม่เคย มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลประโยชน์ร่วมกับกลุ่มบุคคลหรือขบวนการที่เกี่ยวข้องกับ Cambodian scammers หรือกระบวนการต้มตุ๋น หลอกลวง ธุรกิจผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น กระผม มีประวัติการทำงานและจรรยาบรรณที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ มาตลอด 30 ปี ในแวดวงการเงินระดับสากล ทั้งในองค์กรต่างชาติและองค์กรของรัฐขนาดใหญ่ของไทย และปัจจุบันทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ข้าราชการกระทรวงการคลัง ที่มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับผมมากกว่าหนึ่งปีก่อนหน้านี้ รวมทั้งในปัจจุบัน จะสามารถยืนยันได้ว่าผมทำงานอย่างไร
4. การดำเนินการต่อ
4.1 กระผมขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือนและเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่ทำให้ผมเสียชื่อเสียง
4.2 กระผมเชื่อมั่นในหลักนิติธรรมและจะยืนหยัดในความจริงเพื่อปกป้องชื่อเสียงส่วนบุคคลและเกียรติของตำแหน่งทางการเมืองที่ได้รับมอบหมาย
5. คำยืนยัน
“กระผมไม่เคยและจะไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริต ฉ้อโกง หรือเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติใด ๆ ชีวิตการทำงานกว่า 30 ปีของผม อยู่บนหลักความสุจริต โปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสังคม”