“ดร.สุวันชัย” ชี้หากยกเลิก MOU43 ไทย-กัมพูชายังมีกลไกอื่นที่มีผลใช้บังคับและเพียงพอต่อการแก้ไขข้อขัดแย้ง เช่น สนธิสัญญาเก่าที่สยามทำไว้กับฝรั่งเศส ข้อตกลงความร่วมมือชายแดนปี 2538 ที่นำไปสู่การจัดตั้ง GBC และ RBC รวมถึง JBC ที่มีมาก่อน MOU43
ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง เขียนบทความเรื่อง “เขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ตอนที่ 2: สนธิสัญญาและกลไกทวิภาคีที่ยังคงมีอยู่ หากยกเลิก MOU 2543” มีใจความสรุปได้ว่า ผู้ที่คัดค้านการยกเลิก MOU 2543 มักอ้างว่า หากไทยยกเลิก MOU ดังกล่าว จะไม่มีกลไกหรือสนธิสัญญาใดรองรับ ทำให้กัมพูชาสามารถนำปัญหาไปสู่ประเทศที่สามหรือศาลโลก (ICJ) ซึ่งอาจทำให้ไทยเสียเปรียบหรือเสียดินแดน แต่ข้อเท็จจริงคือ ไทยและกัมพูชายังมีกลไกและสนธิสัญญาทวิภาคีอื่นที่ยังมีผลบังคับใช้และเพียงพอต่อการแก้ไขข้อขัดแย้งอยู่แล้ว
1.อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 รวมถึงพิธีสารที่เกี่ยวข้อง ยังคงมีผลผูกพันในฐานะที่กัมพูชาสืบสิทธิจากฝรั่งเศส
2.ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือชายแดน ปี 2538 ที่ลงนามโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มีเป้าหมายส่งเสริมความมั่นคงและการพัฒนาพื้นที่ชายแดนร่วม ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งกลไกความร่วมมือสำคัญ ได้แก่
-คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) มีรัฐมนตรีกลาโหมทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม ทำหน้าที่กำหนดแนวทางรักษาความสงบชายแดน ประชุมปีละครั้ง
-คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ชายแดนในระดับภูมิภาค มีแม่ทัพภาคของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม ประชุมอย่างน้อยปีละสองครั้ง แบ่งเป็น 3 พื้นที่ ได้แก่
(1) ภาคอีสานตอนใต้ – ไทย (ทภ.2) กับกัมพูชา (ภูมิภาคทหารที่ 4)
(2) ภาคตะวันออกตอนบน – ไทย (ทภ.1) กับกัมพูชา (ภูมิภาคทหารที่ 5)
(3) ภาคตะวันออกตอนล่าง – ไทย (กองบัญชาการชายแดนจันทบุรี-ตราด) กับกัมพูชา (ภูมิภาคทหารที่ 3)
3.คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ก่อนมี MOU 2543 รัฐบาลไทยได้ตั้ง “คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา” ตั้งแต่ปี 2536 และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)” เมื่อปี 2540 เพื่อเจรจาและแก้ไขปัญหาเขตแดน ต่อมามีมติ ครม. 14 มี.ค. 2543 ปรับโครงสร้างใหม่ โดย JBC มีหน้าที่สำรวจและจัดทำหลักเขตแดน แต่หลังจากจัดทำ MOU 2543 แล้ว อำนาจการเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนถูกจำกัดเหลือเพียงงานสำรวจและปักปันหลักเขต
ดังนั้น กลไกหลักในการระงับข้อพิพาทชายแดนจึงเป็น GBC และ RBC ไม่ใช่ JBC ตาม MOU 2543 ตัวอย่างเช่น เหตุปะทะชายแดนเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ที่กัมพูชาเริ่มก่อน ภายหลังนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ไทยได้ประชุม ครม. เร่งด่วนและยืนยันหลัก “หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” พร้อมเจรจาผ่านกลไก GBC ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ทั้งสองฝ่ายเจรจาที่เมืองปุตราจายา และตกลงหยุดยิงตั้งแต่เที่ยงคืนวันเดียวกัน ก่อนเข้าสู่กระบวนการหารือผ่าน RBC และ GBC เพื่อแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ
สรุปได้ว่า หากยกเลิก MOU 2543 ไทยและกัมพูชายังมีสนธิสัญญาและกลไกทวิภาคีอื่นรองรับอยู่แล้ว ทั้ง GBC, RBC และสนธิสัญญาเก่า ทำให้ยังสามารถบริหารและแก้ปัญหาชายแดนได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องพึ่งพากลไกจากต่างประเทศหรือศาลโลกแต่อย่างใด