โดย ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม
อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง
12 ตุลาคม 2568
สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้ยกเลิก MOU 2543 มักกล่าวอ้างเหตุผลว่าหากยกเลิก MOU 2543 ไปแล้ว ไทยและกัมพูชาจะไม่มีสนธิสัญญาและกลไกทวิภาคีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดน ซึ่งทำให้กัมพูชาสามารถดึงประเทศที่สาม คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) หรือแม้กระทั่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวได้ซึ่งอาจทำให้ไทยต้องเสียดินแดน เหตุผลที่กล่าวอ้างดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะหากมีการยกเลิก MOU 2543 ไทยและกัมพูชายังคงมีสนธิสัญญาและกลไกทวิภาคีอื่นดังต่อไปนี้
1)อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 รวมทั้งพิธีสารและเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง ในฐานะที่กัมพูชาเป็นประเทศที่ได้รับดินแดนตามหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวสืบทอดมาจากฝรั่งเศส
2)ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือชายแดน ลงนามเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2538 โดยพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการลงนามดังกล่าวที่กรุงพนมเปญ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในพื้นที่ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ตลอดจนพัฒนาและส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่ตามแนวชายแดน ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) อันเป็นกลไกทวิภาคีที่สำคัญด้านความมั่นคงของประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.1)คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดแนวทางและมาตรการที่เหมาะสมเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือและการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีระดับสูงด้านความมั่นคงของประเทศ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทยและกัมพูชาเป็นประธานร่วม การประชุม GBC จะจัดขึ้นทุกปี โดยไทยและกัมพูชาสลับกันเป็นเจ้าภาพ GBC มีการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2538
2.2)คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC)มีอำนาจหน้าที่ในระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการ การพัฒนา และการส่งเสริมความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน ตลอดจนการแก้ไขปัญหาเฉพาะอื่น ๆ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นบริเวณชายแดนร่วมกัน ซึ่งเป็นกลไกรทวิภาคีระดับภูมิภาคด้านความมั่นคงของประเทศ มีแม่ทัพภาคหรือตำแหน่งที่เทียบเท่าของไทยและกัมพูชาเป็นประธานร่วม การประชุม RBC จะจัดขึ้นอย่างน้อยปีละสองครั้ง โดยไทยและกัมพูชาสลับกันเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ RBC แบ่งตามภูมิภาคเป็น 3 พื้นที่ดังนี้
(1)กองทัพภาคที่ 2 ของไทย กับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์
(2) กองทัพภาคที่ 1 ของไทย กับภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนบนในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว
(3) กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดของไทย กับภูมิภาคทหารที่ 3 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนล่างในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด
นอกจากนี้ ก่อนมีการจัดทำ MOU 2543 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2536 ให้จัดตั้งคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ เพื่อเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชาได้ตกลงให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาเมื่อปี 2537 ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2540 ให้จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(Joint Boundary Commission: JBC)แทนคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา
ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2543 ให้เปลี่ยนชื่อ “คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย)” เป็น “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(ฝ่ายไทย)” และให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว JBC มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
(1) พิจารณาและเจรจาปัญหาเส้นเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา
(2) ดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตลอดแนวไทย-กัมพูชา
(3) จัดตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานเพื่อช่วยในการปฏิบัติงานได้ตามความจำเป็น
ต่อมาเมื่อวันที่ 5-7 มิ.ย. 2543 JBC (ฝ่ายไทย) โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งเป็นประธานของ JBC (ฝ่ายไทย) ได้เข้าร่วมประชุม JBC ครั้งที่ 2 ณ กรุงพนมเปญ ที่ประชุมได้ตกลงกันได้ในเรื่องการจัดทำ MOU 2543 โดยประธาน JBC ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ลงนามย่อ (ad referendum) และต่อมาจึงได้ลงนามรับรอง MOU 2543 อย่างเป็นทางการของทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2543
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าไทยและกัมพูชามีกลไกทวิภาคี JBC อยู่ก่อนการจัดทำ MOU 2543 แต่เมื่อมีการจัดทำ MOU 2543แล้วJBC ตาม MOU 2543 มีอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชารวมทั้งการดำเนินการที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและเจรจาปัญหาเส้นเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาอย่างที่เคยกำหนดไว้ก่อนการจัดทำ MOU 2543ดังนั้นเมื่อมีข้อพิพาทหรือเกิดเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา กลไกทวิภาคีที่ใช้ในการระงับข้อพิพาทจึงไม่ใช่ JBC ตาม MOU 2543 แต่เป็น GBC และ RBC
ดังนั้นหากมีการยกเลิก MOU 2543 ก็ยังคงมีกลไกทวิภาคี GBC และ RBC ในการช่วยระงับข้อพิพาทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาจึงไม่เป็นอย่างที่มักมีการกล่าวอ้างว่า หากยกเลิก MOU 2543 ไปแล้ว ไทยและกัมพูชาจะไม่มีสนธิสัญญาและกลไกทวิภาคีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดนแต่อย่างใดเลย
ตัวอย่างเช่น เมื่อมีเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่เริ่มเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 โดยกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ต่อมาทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาได้รับการประสานจากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพอำนวยความสะดวกในการเจรจาของทั้งสองฝ่ายเพื่อยุติข้อขัดแย้งดังกล่าว ฝ่ายไทยจึงได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีเร่งด่วนเพื่อรับทราบและประเมินสถานการณ์ความมั่นคง รวมทั้งกำหนดแนวทางในการไปเจรจาโดยยึดหลักว่า ทั้งสองฝ่ายต้องหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข และร่วมกันหาทางออกผ่านกลไก GBC และเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 ฝ่ายไทยจึงได้เดินทางไปยังเมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย เพื่อเข้าร่วมการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา และการเจรจาดังกล่าวมีความเข้าใจร่วมกัน (Common Understanding) ว่า ทั้งสองฝ่ายจะหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของคืนวันที่ 28 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป ต่อจากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้ใช้กลไกทวิภาคี RBC และ GBC ตามลำดับ ในการเจรจาเพื่อหาทางระงับข้อพิพาทดังกล่าว