เพจด้านความมั่นคงเตือนรัฐบาลและสังคมอย่าเข้าใจผิด ปมเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา ปี 2543 หรือ “MoU 43” ชี้ข้อตกลงดังกล่าวคือเครื่องมือสำคัญในการปักปันเขตแดนร่วมกัน หากยกเลิกโดยไม่มีข้อตกลงใหม่แทนที่จะเปิดทางให้กัมพูชาอ้างแผนที่เก่าที่ไทยเสียเปรียบ และอาจนำไปสู่การ “เสียดินแดนแน่นอน”
จากกรณีกระแสการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา ปี 2543 (MoU 43) กลับมาเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ หลังกลุ่มการเมืองบางส่วนเสนอให้ทบทวนหรือยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว
วันที่ 5 ตุลาคม 2568 เพจ “thaiarmedforce.com” หรือ TAF เพจด้านความมั่นคงชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์อธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ MoU 43 พร้อมเตือนอย่างหนักแน่นว่า หากไทยยกเลิกข้อตกลงนี้โดยไม่มีเอกสารใหม่มาทดแทน จะ “เข้าทางกัมพูชา 100%” และมีความเสี่ยงสูงที่ไทยจะเสียดินแดนเพิ่มอย่างแน่นอน
โดยจุดกำเนิดของ MoU 43 นั้น MoU 43 เป็นบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยและกัมพูชาลงนามร่วมกันเมื่อปี พ.ศ. 2543 เพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission-JBC) โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การสำรวจและจัดทำแผนที่ใหม่เพื่อปักปันเขตแดนที่ชัดเจน หลังจากที่แผนที่เก่าที่ใช้กันมาในยุคอาณานิคมฝรั่งเศสมีความคลาดเคลื่อนสูง
TAF อธิบายว่า ทั้งแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 และ 1:200,000 ที่มักถูกหยิบมาอ้างอิงในข้อพิพาท ล้วน “ใช้ไม่ได้ทั้งคู่” เพราะไม่ใช่แผนที่ที่ยืนยันเส้นเขตแดนจริง โดยแผนที่ 1:50,000 เป็นแผนที่ทางทหาร และมีข้อความระบุชัดว่า “เส้นเขตแดนในแผนที่นี้ไม่ใช่เขตแดนจริง” ส่วนแผนที่ 1:200,000 ที่จัดทำในยุคฝรั่งเศสก็มีความหยาบและคลาดเคลื่อนสูงเช่นกัน
ซึ่ง MoU 43 ไม่ได้รับรองแผนที่ 1:200,000 เพจ TAF ย้ำว่า ข้อเท็จจริงที่คนเข้าใจผิดคือ MoU 43 ไม่ใช่การรับรองแผนที่ 1:200,000 แต่เป็นการใช้แผนที่ดังกล่าวเพียง “อ้างอิง” ร่วมกับสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส เพื่อสร้างแผนที่ใหม่ที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ โดยมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น LiDAR ช่วยตรวจหาสันปันน้ำและแนวเขตจริง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความแม่นยำและเป็นสากล
“ผลของ MoU 43 คือการได้แผนที่ใหม่ที่ถูกต้องกว่าเดิม และทำให้ไม่สามารถย้ายหลักเขตหรืออ้างเส้นเขตแดนตามใจได้อีก” เพจระบุ
ทั้งนี้ การยกเลิก MoU 43 = เหลือแค่แผนที่ที่ไทยเสียเปรียบ TAF เตือนว่า หากยกเลิก MoU 43 ไทยจะเหลือเพียงแผนที่ 1:200,000 เป็นหลักฐานอ้างอิงระหว่างประเทศ เพราะแผนที่ 1:50,000 ไม่มีสถานะทางกฎหมายในสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ซึ่งจะทำให้ไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที
นอกจากนี้ การยกเลิก MoU 43 ยังหมายถึงการหมดกลไกการเจรจาทวิภาคีที่กำหนดไว้ในข้อตกลง ทำให้กัมพูชาสามารถนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) หรือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้โดยตรง ซึ่งในกรณีนี้ไทยจะถูกตัดสินโดยอิงกับแผนที่ 1:200,000 ที่ไม่เป็นคุณต่อฝ่ายไทยแน่นอน
และควรบังคับใช้ ไม่ใช่ยกเลิก TAF ระบุว่า การที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงบางข้อของ MoU 43 ไม่ใช่เหตุผลที่ไทยควรยกเลิก แต่ควร “บังคับใช้ให้กัมพูชาปฏิบัติตาม” ต่างหาก เพราะหากไม่มี MoU 43 ไทยก็จะไม่สามารถใช้ข้อตกลงนี้เป็นฐานทางกฎหมายในการคัดค้านการรุกล้ำของกัมพูชาได้อีกต่อไป
“หากไม่มี MoU 43 ไทยจะไม่สามารถอ้างสิทธิ์หรือใช้กำลังตอบโต้ในกรอบข้อตกลงระหว่างประเทศได้ จะกลายเป็นข้อพิพาทเปิดที่ต่างชาติสามารถเข้ามาแทรกแซงได้เต็มที่” เพจระบุ
การยกเลิกเท่ากับปลดโซ่คล้องคอกัมพูชา เพจ TAF สรุปชัดว่า การยกเลิก MoU 43 โดยไม่มีข้อตกลงใหม่มาทดแทน จะเท่ากับ “ปลดโซ่คล้องคอกัมพูชาออก” และเปิดทางให้กัมพูชาอ้างแผนที่ 1:200,000 ได้อย่างเสรี ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียดินแดนเพิ่มเติม “หลังจากเสียปราสาทพระวิหารไปแล้ว หากไทยยกเลิก MoU 43 อาจต้องสูญเสียพื้นที่ตามแนวชายแดนอีกหลายแห่ง เพราะเหลือเพียงแผนที่ที่ไทยเสียเปรียบที่สุดไว้ใช้อ้างอิง”
การเรียกร้องรัฐเปิดข้อมูลก่อนทำประชามติ TAF ยังตั้งข้อสังเกตถึงแนวคิดของรัฐบาลที่อาจจัด ประชามติเรื่อง MoU43 โดยมองว่าเป็นเรื่องไม่สมควร เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเนื้อหาของ MoU 43 อย่างถ่องแท้ หากจะเปิดให้ลงประชามติ ต้องเปิดเผยข้อมูลทุกด้านอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงครบถ้วน