ปัญหาเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านหลายครั้งมักถูกหยิบยกขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ) ทว่าท่าทีของไทยในการไม่ยอมรับอำนาจศาลในบางกรณี หรือการแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินที่อิงตามสนธิสัญญาเก่า ๆ นั้น มิได้มาจากความดื้อรั้น หากแต่เป็นผลพวงจากบาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ นั่นคือ สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมและไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันของลัทธิอาณานิคม
ในยุคที่มหาอำนาจตะวันตกแผ่อิทธิพลเข้ายึดครองดินแดนต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สยามเองก็ตกอยู่ในภาวะจำยอมต้องทำสนธิสัญญาต่าง ๆ กับชาติตะวันตก โดยเฉพาะฝรั่งเศส สนธิสัญญาเหล่านี้มักถูกร่างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเอารัดเอาเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นการยกดินแดน การเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต หรือการผูกมัดทางเศรษฐกิจ การเจรจาต่อรองไม่ได้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของความเสมอภาค แต่เป็นการบีบบังคับภายใต้ภัยคุกคามจากการใช้กำลัง และนี่คือจุดเริ่มต้นของความไม่ไว้วางใจในเอกสารทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้น
ไทยเชื่อมาโดยตลอดว่าสนธิสัญญาเหล่านั้น ซึ่งรวมถึง "สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม" หลายฉบับ ไม่ได้สะท้อนเจตนาที่แท้จริงและเป็นธรรมของคู่สัญญา แต่เป็นผลมาจากการที่สยามถูกกดดันอย่างหนักให้ต้องยินยอม เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้ให้ได้มากที่สุด การยอมรับอำนาจของ ICJ ในการตีความหรือบังคับใช้สนธิสัญญาเหล่านี้โดยปราศจากการพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์และสภาพการณ์ที่ไม่เท่าเทียมในการทำสัญญา จึงเป็นสิ่งที่ไทยไม่อาจยอมรับได้โดยสมบูรณ์ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการรับรองความชอบธรรมของความไม่เป็นธรรมในอดีต
เพื่อทำความเข้าใจถึงความรู้สึกนี้ เราสามารถย้อนมองไปยังเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจในประวัติศาสตร์ของภูมิภาค อย่างเช่น กรณีหมู่บ้านกรังเลียวในเขตจังหวัดกำปงชนัง ของกัมพูชา ซึ่งเป็นดินแดนที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1925 เมื่อชาวบ้านกรังเลียวลุกฮือขึ้นต่อต้านการกดขี่และเก็บส่วยภาษีที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส เหตุการณ์บานปลายจนมีการสังหารนายเฟลิกซ์ หลุยส์ บาร์เดซ เจ้ากรมอากรชาวฝรั่งเศส ล่ามและองครักษ์ ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อรัฐบาลอาณานิคม
สิ่งที่ตามมาคือการปราบปรามอย่างเหี้ยมโหด ชาวบ้านถูกสังหารและจับกุมนับไม่ถ้วน และที่น่าสะเทือนใจยิ่งกว่านั้นคือ พระบาทสมเด็จสีโสวัตถิ์ กษัตริย์กัมพูชาในขณะนั้น ซึ่งอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลจากฝรั่งเศส ต้องยอมลงโทษพสกนิกรของพระองค์อย่างรุนแรงยิ่งกว่า โดยมีพระบรมราชโองการให้เปลี่ยนชื่อหมู่บ้านกรังเลียวเป็น “บ้านเดรัจฉาน" (ภูมิดิรัจฉาน) เป็นเวลาถึง 10 ปี ห้ามชาวบ้านมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนอื่น มีบัตรประชาชนสีดำ และสร้างสถูปบรรจุอัฐิของเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสที่ถูกสังหารไว้กลางหมู่บ้าน เพื่อให้ชาวบ้าน "เดรัจฉาน" ได้แสดงความเสียใจในการกระทำของตน ซึ่งสถูปดังกล่าวปัจจุบันยังคงตั้งอยู่ที่หมู่บ้านกรังเลียว กำปงชนัง
กรณีหมู่บ้านกรังเลียวเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ ความไร้อำนาจของรัฐท้องถิ่นกัมพูชาภายใต้การปกครองของเจ้าอาณานิคม แม้แต่กษัตริย์ผู้เป็นประมุขของรัฐก็ยังต้องยอมทำตามคำสั่งของมหาอำนาจต่างชาติ เพื่อระงับความโกรธเกรี้ยวและรักษาเสถียรภาพของตนเองไว้ การที่ต้องลงโทษประชาชนของตนเองอย่างโหดเหี้ยมและหยามเกียรติเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความกดดัน ความขมขื่น รวมถึงการใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่เป็นธรรมของมหาอำนาจที่เกิดขึ้นในยุคนั้น
บทเรียนจากกรังเลียวมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่กัมพูชา แต่ยังสะท้อนถึงประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค รวมถึงไทยเองก็เคยเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องยอม "เสียเปรียบ" เพื่อ "รักษาตัวรอด" การที่สนธิสัญญาต่าง ๆ ที่ทำขึ้นในยุคนั้นถูกนำมาใช้เป็นฐานในการตัดสินคดีในปัจจุบันโดย ICJ จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่งสำหรับไทย
ดังนั้น การที่ไทยแสดงท่าทีไม่ยอมรับอำนาจ ICJ อย่างเต็มที่ในบางกรณี หรือพยายามโต้แย้งคำตัดสินที่อิงกับสนธิสัญญาเก่า ๆ จึงไม่ใช่การปฏิเสธหลักนิติธรรมระหว่างประเทศโดยสิ้นเชิง หากแต่เป็นการยืนยันจุดยืนที่ว่า กฎหมายและความยุติธรรมที่แท้จริง ควรคำนึงถึงบริบททางประวัติศาสตร์ สภาพการณ์ที่ไม่เท่าเทียม และการที่เอกสารทางกฎหมายบางฉบับเกิดขึ้นภายใต้การบีบบังคับของลัทธิอาณานิคมที่ไม่เป็นธรรม ไทยเชื่อว่าการแก้ไขปัญหาชายแดนและข้อพิพาทต่าง ๆ ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเจรจาที่เท่าเทียมและเป็นธรรมในปัจจุบัน ไม่ใช่การยึดติดกับมรดกอันขมขื่นจากอดีตที่มิได้สะท้อนเจตนาที่แท้จริงของชาติไทยที่ต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของตนอย่างสุดความสามารถ และมรดกอันขมขื่นจากจักรวรรดิอาณานิคมในอดีตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกดดันขมขื่น และยังคงเป็นประวัติศาสตร์ยากจะลืมเลือนที่กัมพูชาเองเคยเผชิญในยุคอาณานิคมมาแล้ว
อ.จำเริญ กรังเลียว
๑๘ มิถุนายน พศ ๒๕๖๘