เมืองไทย 360 องศา
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างต่อเนื่อง และนับวันยิ่งซับซ้อนกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ หากรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก้าวพลาด หรือว่า “เดินเกม” ผิดพลาดก็อาจส่งผลเสียด้านอธิปไตยของชาติ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนาคตทางการเมืองที่เขาจะใช้สถานการณ์นี้เพื่อกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอีก 4 ปีข้างหน้า จะต้องพังครืนลงไปด้วย
แน่นอนว่าเวลานี้หากพิจารณาจากความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ มีความเห็นว่าควรระงับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในระยะยาวไปเลย ดังจะเห็นได้จากการสนับสนุนให้ปิดเนชายแดนอย่างถาวร รวมไปถึงการสนับสนุนด้านการใช้กำลังทหารเพื่อจัดการยึดคืนพื้นที่ รวมไปถึงการสร้างรั้วกั้นชายแดน ซึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นความรู้สึกร่วมของคนไทยส่วนใหญ่ไปแล้ว
แม้ว่าที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะย้ำถึงการสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่ พร้อมกับย้ำเงื่อนไข 4 ข้อ กับฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน ที่ต้องให้ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการให้ชัดเจนก่อนถึงจะมีการเจรจา
ทั้งนี้ เงื่อนไข 4 ข้อดังกล่าวของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ยังยืนยันในกรอบข้อตกลงที่กัมพูชาต้องปฏิบัติตาม เนื่องจากเป็นเรื่องภัยความมั่นคง เป็นอันตรายต่อประชาชนไทย
ได้แก่ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามสแกมเมอร์ และการจัดการพื้นที่ ที่ประชาชนกัมพูชา รุกล้ำเข้ามาอยู่ในประเทศไทย เรายืนยันตรงนี้ถึงจะเกิดการพูดคุยกันต่อได้ และขอให้กัมพูชาปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติ ฝ่ายไทยจะมีมาตรการในการดำเนินการ
แน่นอนว่าการดำเนินการตามเงื่อนไข 4 ข้อข้างต้น ย่อมเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งมีการปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 บริเวณ บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งจากท่าทีดังกล่าวของ นายกรัฐมนตรี ก็ต้องยอมรับว่า “มีความแข็งกร้าว” และชัดเจนในท่าที ที่มีต่อกัมพูชา และถือว่า “ได้แต้ม” ทางการเมืองไปพอสมควรเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่มีความเสี่ยงด้านลบในทางการเมืองของนายอนุทิน ควบคู่กันมาก็คือ กรณีเสนอให้ทำประชามติ “เอ็มโอยู 43-44” โดยอ้างว่าต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่า รัฐบาลโลเล ซื้อเวลาไม่กล้าตัดสินใจ ทั้งที่สามารถออกเป็นมติคณะรัฐมนตรี ยกเลิกเพียงฝ่ายเดียวได้ ซึ่งที่ผ่านมามีการพิสูจน์ให้เห็นว่าการคงอยู่ของ เอ็มโอยู 43-44 ดังกล่าวมีแต่ทำให้ไทยเสียประโยชน์ เสียดินแดน และที่สำคัญที่ผ่านมาทางฝ่ายกัมพูชามีการละเมิดมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
แต่ล่าสุดเขาเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไปอีก จากเดิมที่แข็งขันให้มีการทำประชามติ กลายมาเป็นให้รอฟังมติของคณะกรรมาธิการของทั้งสองสภาพิจารณาให้ได้ข้อสรุปเสียก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ความหมายก็คือ อาจจะไม่ต้องทำประชามติ ก็เป็นไปได้
ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งคำถามถึงรัฐบาลว่า เหตุใดต้องทำประชามติ ยกเลิก MOU 43-44 ทำไมไม่ใช้กลไกของรัฐสภาว่า ขณะนี้รัฐสภากำลังศึกษาอยู่ทั้ง 2 สภา
ผู้สื่อข่าวถามว่าจริงๆแล้วสามารถใช้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการยกเลิกได้เลยใช่ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างต้องมีขั้นตอน
ถามว่า ต้องรอข้อสรุปของกรรมาธิการ ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ในเมื่อกรรมาธิการทั้ง 2 สภา ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร กำลังศึกษาอยู่ เราก็รอฟังผลการศึกษา
เมื่อถามว่า หากผลออกมาเป็นทางบวกกับประเทศไทยมีโอกาสไม่ต้องทำประชามติ ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า รอให้ผลการศึกษาออกมาก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาร่วมกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “บัตรลงคะแนน 4 ใบ 6 คำถาม จะไหวไหม” จากการสำรวจเมื่อถามความสับสนเกี่ยวกับบัตรลงคะแนน 4 ใบ รวม 6 คำถาม (บัตรเลือก สส. ระบบเขตเลือกตั้งหนึ่งใบ; บัตรเลือก สส. ระบบบัญชีรายชื่อหนึ่งใบ; บัตรลงคะแนนประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหนึ่งใบ สองข้อ; บัตรลงคะแนนประชามติเรื่องการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 หนึ่งใบ สองข้อ) ในการเลือกตั้งครั้งหน้าของประชาชนทั่วไป พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 48.55 ระบุว่า สับสนมาก รองลงมา ร้อยละ 30.61 ระบุว่า ค่อนข้างสับสน ร้อยละ 11.99 ระบุว่า ไม่สับสนเลย และร้อยละ 8.85 ระบุว่า ไม่ค่อยสับสน
ด้านความสับสนเกี่ยวกับบัตรลงคะแนน 4 ใบ รวม 6 คำถาม ในการเลือกตั้งครั้งหน้าของตนเอง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.73 ระบุว่า ไม่สับสนเลย รองลงมา ร้อยละ 26.80 ระบุว่า สับสนมาก ร้อยละ 23.36 ระบุว่า ค่อนข้างสับสน และร้อยละ 15.11 ระบุว่า ไม่ค่อยสับสน
หากพิจารณาจากผลสำรวจดังกล่าว ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พร้อม ความไม่เข้าใจของประชาชน กับเรื่องของ “เอ็มโอยู” เพราะมันเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน และเข้าใจยาก แม้ว่าในคำตอบถัดไปประชาชนส่วนใหญ่จะมีความเห็นว่าต้องการลงประชามติในเรื่องเอ็มโอยูก็ตาม ซึ่งลักษณะเหมือนกับว่ามีความย้อนแย้งในตัวเอง เพราะความหมายเหมือนกับว่า “ไม่เข้าใจแต่อยากลงประชามติตัดสินใจ”
นาทีนี้ไม่ว่ามองในมุมไหนเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังเป็นเรื่องอ่อนไหว สำหรับคนไทย และอารมณ์คนไทยมีความเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายกัมพูชามากขึ้น และไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ หากรัฐบาล และ นายอนุทิน ตัดสินใจผิดไปจากความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ ก็จะกลายเป็นความเสี่ยงต่ออนาคตทางการเมืองของ เขาและพรรคภูมิใจไทยสำหรับการเลือกตั้งในปีหน้าอย่างแน่นอน
ในกรณี “เอ็มโอยู43” ก็เช่นเดียวกัน ที่เริ่มเห็นสัญญาณ ในเชิงลบสำหรับการทำประชามติมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนายกฯ ก็เริ่มมองเห็น จึงเริ่มเปลี่ยนท่าทีมาให้รอผลสรุปของสภา
แต่ถึงอย่างไร นี่ก็คือการ “ซื้อเวลา” ที่มีความเสี่ยงเหมือนกัน เพราะเมื่อชาวบ้านเริ่มมองออก ว่ารัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจ โบ้ยไปทางอื่นเรื่อยๆ แม้ว่าที่ผ่านมาจะอาศัยลูกพลิ้ว เรื่องให้อำนาจทหารจัดการปัญหาชายแดนอย่างเต็มที่ แต่สำหรับเรื่องสำคัญที่มีผลกับเรื่องผลประโยชน์ของชาติระยะยาว อย่างเอ็มโอยู กลับใช้วิธีซื้อเวลาแบบนี้ มันก็มีความเสี่ยงต่ออนาคตทางการเมืองของเขาไม่น้อยเหมือนกัน !!