xs
xsm
sm
md
lg

การเมือง 3 ก๊ก พท.-กธ.ตัวแปรรัฐบาล!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อนุทิน ชาญวีรกูล - ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
เมืองไทย 360 องศา

แม้ว่า “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ที่นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่มีอายุไม่เกิน 4 เดือน กำลังเริ่มทำหน้าที่บริหารราชการอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม และมีนโยบายแบบ “ควิกวิน” ออกมาแบบเฉพาะ เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แบบที่เรียกว่า “กระตุ้นสั้นได้ผลยาว” ก็ว่ากันไป รวมไปถึงการมอบอำนาจด้านความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ฝ่ายกองทัพเป็นผู้ดูแลจัดการอย่างเต็มที่

แต่ขณะเดียวกัน ท่าทีล่าสุดของ นายกรัฐมนตรีเริ่มขึงขังมากขึ้นกับเรื่อง “เอ็มโอยู 43” จากก่อนหน้านี้ จะให้มีการลงประชามติ ถามความเห็นประชาชนในช่วงวันเลือกตั้งว่า เห็นสมควรยกเลิกหรือไม่ มาแบบส่งเสียงเข้มมากขึ้นว่า หากพิสูจน์แล้วว่าไม่ดีจริง ก็จะยกเลิก ซึ่งท่าทีดังกล่าวน่าจะมาจากเสียงวิจารณ์ที่ดังขึ้นว่า ไม่ควรผลักภาระไปให้ประชาชนตัดสินใจ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซับซ้อน เข้าใจยาก

ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีชายแดนไทย กัมพูชาขณะนี้ ว่า ตนก็ทำงานคู่กันไปกับกระทรวงการต่างประเทศในเรื่องของการทูต และเรื่องการตั้งเงื่อนไข และจุดยืนของประเทศไทย

ส่วนเรื่องของการดูแลอธิปไตยของไทย ดูแลอาณาเขตของไทย ตนได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หารือใกล้ชิดกับผู้บัญชาการทหารบก เสนาธิการทหารบก ซึ่งตนให้คำยืนยันกับทุกท่านในด้านการทหาร และเหล่าทัพไปว่า รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ รวมถึงตำรวจด้วย เพราะมีภารกิจของตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งหากเหล่าทัพต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาล ตนดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ทันที และเต็มที่ เมื่อวานนี้ได้เร่งอนุมัติงบกลาง เพื่อสนับสนุนภารกิจของกองทัพเพื่อปกป้องในชายแดน ของประเทศไทย ที่กำลังมีปัญหากับประเทศกัมพูชาอยู่ ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกให้คำมั่นกับตนว่า เราจะไม่เสียเปรียบ รักษาอธิปไตยของเราเรา ได้ทำในสิ่งที่เราต้องทำ และทำในสิ่งที่ประชาชนชาวไทย จะไม่ผิดหวัง

ส่วนเรื่องของ MOU 43-44 นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาแล้ว แต่จะเดินไปถึงประชามติ ว่าควรจะยกเลิกหรือไม่ มีขั้นตอน บางคนบอกไม่อยากให้โยนภาระให้กับประชาชน ขอทำความเข้าใจว่าไม่ได้เป็นการโยนภาระให้ประชาชน เแต่เพราะเรื่องอะไรที่มีความคิดแตกต่างกัน และไม่ใช่เรื่องสลับซับซ้อน หากเราให้ประชาชนมีส่วนร่วม จะมีหลังพิงและแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่าย

แต่เมื่อมีการศึกษาออกมาแล้วรัฐบาลนำมาพิจารณาตนขอสงวนสิทธิ์ไว้ว่าถ้าดูแล้วไม่เป็นประโยชน์กับประเทศของเรา เพราะวันนี้เราจะดูในเรื่องของประโยชน์ของประเทศเท่านั้น ซึ่งเรามีท่าทีแล้วเพราะสิ่งที่เขาปฏิบัติมาไม่มีอะไรจำเป็นที่เราจะต้องให้ความเกรงใจ พร้อมย้ำว่า หากอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย และถึงขั้นที่ว่า “มีไปแล้วไม่เกิดคุณค่าอะไร คณะรัฐมนตรีของตนพร้อมที่จะยกเลิก”

นั่นคือท่าทีล่าสุดของนายอนุทิน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ก่อนพบกับบรรดาผู้นำเหล่าทัพ ที่ย้ำเรื่อง “เอ็มโอยู 43” ว่าหากผลการศึกษาออกมาไม่มีประโยชน์ ทำให้ไทยเสียเปรียบชัดเจน ก็ต้องยกเลิกได้ก่อน ที่จะถึงการทำประชาชมติ ในวันเลือกตั้งก็ได้

แน่นอนว่า รัฐบาลเฉพาะกิจชุดนี้ยังคงเน้นเรื่อง “ความมั่นคง” ด้านชายแดน และเรื่อง “ชาตินิยม” เพื่อหวังผลสำหรับการเลือกตั้งคราวหน้า ซึ่งพวกเขารับสัญญาณแบบนี้ได้ดีอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อวกมาที่เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็น “ภาพการเมืองใหญ่” ทั้งในช่วงก่อน และหลังเลือกตั้ง กับการมีรัฐบาลใหม่ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ซึ่งหลายคนมองว่าการเมืองในอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นแบบ “สามก๊ก” นั่นคือ สองขั้วหลัก คือ พรรคประชาชน กับ พรรคภูมิใจไทย และอีกขั้วหนึ่งคือ “เพื่อไทย” ที่จะลดลงมาเป็น “พรรคขนาดกลาง”

มีนักสังเกตการณ์การเมืองบางคนมองว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยน่าจะมี ส.ส.ต่ำกว่าร้อยคน นั่นคืออาจถึงขั้นเหลือแค่ “หกสิบกว่าคน”เท่านั้น เนื่องจากหลังจากนี้จะมี “เลือดไหล” ออกไปจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ที่เคยเป็นฐานเสียงหลัก หรือแม้แต่ในภาคกลาง รวมไปถึงภาคตะวันตก กรณีของนายศักดา วิเชียรศิลป์ ที่ย้ายออกมาจากพรรคเพื่อไทย ไปสนับสนุน นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นต้น

และที่เห็นภาพอย่างเป็นทางการก็คือ การย้ายพรรคของ “กลุ่มชูวิทย์ กุ่ย” ที่นำโดย นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย มาปรากฏตัวที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วย

ระหว่างการมอบนโยบายของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แก่ข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบนายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย เข้าร่วมด้วย ภายหลังตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพื่อรับตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า ตนเองทำงานเกษตรมาทั้งชีวิต ต้องขอบคุณ ร้อยเอกธรรมนัส ที่เชิญมาทำงานให้กับประชาชน เชื่อว่าท่านจะสามารถขับเคลื่อนเกษตร โดยเฉพาะราคาวัว ยางพารา มันสำปะหลัง หมู เป็ด ไก่ ต้องดีขึ้น เชื่อว่าใน 4 เดือน เราทำได้เพราะเรา “กล้าทำ” ก่อนที่ ร้อยเอกธรรมนัส จะระบุว่า นายชูวิทย์ เก่งหลายเรื่อง

ถามว่า นางสาวสุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ลูกสาวว่าอย่างไรบ้าง นายชูวิทย์ ระบุว่าขอให้ทำในสิ่งที่พ่อชอบทำมาตลอดชีวิต ให้พ่อช่วยเหลือเกษตรกร เนื่องจากร้อยเอกธรรมนัส ชวนมาทำงาน ก็แฮปปี้ แม้จะมีคนไม่เห็นด้วย แต่ตนเองขอกำลังใจว่า ให้มาทำงานก่อน อย่าเพิ่งด่ากัน

เมื่อถามว่าจบกับพรรคเดิมดี ใช่หรือไม่ นายชูวิทย์ กล่าวว่าเพียงว่า “ขอมาทำงาน” ก่อนที่ ร้อยเอกธรรมนัส จะกล่าวเสริมว่า “คำตอบ คือผลงาน”

นั่นคือภาพการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่มองเห็นว่า การ “ไหลเข้า” ไม่ใช่มีเฉพาะกับพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น ยังมีพรรคกล้าธรรม ของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ต้องจับตามอง เพราะหากการเมืองเป็นเรื่องของ“บ้านใหญ่” รับรองว่า พรรคนี้ย่อมมีองค์ประกอบแบบนี้อัดแน่นอยู่แล้ว และเชื่อว่าเมื่อใกล้ถึงเวลาเลือกตั้ง จะมีเข้ามาสมทบอย่างต่อเนื่อง โดยจะกระจายมาจากทุกภาค โดยเฉพาะภาคอีสานกับ “ภาคใต้” ที่ไม่ใช่มีแต่พรรคภูมิใจไทย ทั้งหมด

ดังนั้น หากให้ประเมินตามศักยภาพ ยังเชื่อว่า พรรคกล้าธรรม จะกลายเป็น “พรรคขนาดกลาง” ที่จะเป็น “ตัวแปร” สำคัญ ไม่ต่างจากพรรคเพื่อไทย แต่หากโฟกัสไปที่พรรคกล้าธรรม พวกเขาน่าจะตอบรับเป็นพันธมิตรกับฝั่งภูมิใจไทย เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า เรียบร้อยแล้ว โดยทั้งสองพรรคดังกล่าวจะเป็นแกนหลัก ส่วนที่เหลือ จะเป็นพรรคระดับเล็ก รองลงไป !!


กำลังโหลดความคิดเห็น