เมืองไทย 360 องศา
ปัญหาเรื่อง “เอ็มโอยู” หรือบันทึกความเข้าใจระหว่าง ไทยกับกัมพูชา ในกรณีเอ็มโอยู 43-44 ที่มีเสียงให้ยกเลิกดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลกลับมีท่าทีชัดเจนเช่นกันว่า “ไม่ต้องการยกเลิก” โดยอ้างว่า ทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาปัญหาร่วมกันได้ ทั้งปัญหาเขตแดน รวมไปถึงเรื่องกู้ทุ่นระเบิด เป็นการบีบให้กัมพูชาต้องยอมรับการเจรจาแบบทวิภาคีหรือสองฝ่ายโดยไม่มีประเทศที่สามเข้ามาแทรกแซง
ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ก่อน มีฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติเพื่อให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา เอ็มโอยู 43-44 แต่ปรากฏว่า ประธานในที่ประชุมสภาขณะนั้นคือ นายไชยา พรหมา รองประธานสภาคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธาน กลับสั่งปิดประชุมโดยกระทันหัน ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ตามมามากมายว่า ฝ่ายรัฐบาลมีเจตนาปิดปากไม่อยากให้มีการอภิปรายกันถึงเรื่องดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ในสัปดาห์นี้ปรากฏว่ามีความเคลื่อนไหวของฝ่ายวุฒิสภา โดยนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ออกหนังสือนัดประชุมวุฒิสภาในวันที่ 25-26 ส.ค. โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจ ในวันที่ 26 ส.ค.คือญัตติให้ สว.พิจารณาตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก เอ็มโอยู 2543 และ 2544 เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เสนอโดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. และคณะ
สำหรับสาระสำคัญของญัตติดังกล่าว ระบุว่า เพื่อเป็นการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดนไทยอย่างยั่งยืน พร้อมระบุในสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า การปะทะระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชาตามแนวชายแดนหลายพื้นที่ เพราะยึดถือแผนที่ที่มีมาตราส่วนต่างกัน ทั้งนี้ รัฐบาลไทยปัจจุบันควรยืนยันกับกัมพูชาให้เข้าใจว่าไทยไม่ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน แต่เมื่อปี 2543 รัฐบาลยุคนั้นได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก หรือเอ็มโอยู 2543 ซึ่งมีสาระสำคัญในข้อ 1 ว่า ไทยกับกัมพูชาจะร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกให้เป็นไปตามเอกสาร 3 รายการ โดยรายการที่ 3 คือ แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามข้อตกลงของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสปี 2447 และ 2450 คือแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน และผู้นำกัมพูชายืนยันยึดแผนที่ดังกล่าวตลอด
ขณะเดียวกัน ทางฝ่ายรัฐบาลก็มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน โดยให้เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศออกมายืนยันถึงความจำเป็นของการคงอยู่ของ เอ็มโอยู 43 และประโยชน์ต้องมีเอ็มโอยู ดังกล่าวเอาไว้
นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงทำความเข้าใจต่อบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 หรือ MOU 2543 หรือ MOU43 โดยอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ มั่นใจว่า ประเทศไทยได้เปรียบจาก MOU43 เนื่องจาก MOU43 เป็นการกำหนดกรอบความตกลง และกลไกการปักปันเขตแดน เพื่อร่วมกันสำรวจ-จัดทำหลักเขตแดน เพื่อให้ได้แผนที่ที่นำมาใช้ได้จริง โดยใช้หนังสือ สัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 เป็นเอกสารประกอบ เนื่องจากหนังสือสัญญาดังกล่าวได้พูดถึงคณะกรรมการปักปันเขตแดน เพื่อให้ไปทำแผนที่ตามหลักสันปันน้ำ แม่น้ำ และแนวเส้นตรง รวมถึงยังมีเอกสารอื่นๆ เช่น แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดน และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และ 1907 ระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส จึงเป็นที่มาของ MOU43 และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ไทย-กัมพูชา
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ยังอธิบายหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ JBC ไทย-กัมพูชา ว่า มีหน้าที่สำรวจจัดทำหลักเขตแดน ทำแผนแม่บทกำหนดอำนาจหน้าที่ กำหนดความเร่งด่วนของพื้นที่ และมอบหมาย และกำกับของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิค หรือ JTSC ผู้ที่ลงพื้นที่ เพื่อสำรวจเขตแดน และพิสูจน์ตำแหน่งที่แน่ชัดของหลักเขตแดนทั้ง 74 หลักเพื่อจัดทำแผนที่ รวมถึงการพิจารณารายงาน และข้อเสนอของคณะกรรมาธิการเทคนิค และที่สำคัญคือการผลิตแผนที่ที่ไทย-กัมพูชา สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้จริง ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ยังย้ำว่า ใน MOU43 กำหนดให้ทั้งไทยและกัมพูชา จะต้องงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการสำรวจเขตแดน เช่น การไม่ขุดคูเลท หรือการไม่ควรมีทหาร เป็นต้น และหากเกิดปัญหาการตีความการบังคับใช้ MOU ต่อพื้นที่ ทั้ง 2 ฝ่าย ก็จะต้องมาเจรจากันตามที่ MOU กำหนดไว้ โดยไม่ได้มีการระให้บุคคลที่ 3 หน่วยงานที่ 3 หรือหลีกเลี่ยงไปหากลไกอื่นมาร่วมแก้ปัญหา เพราะตาม MOU43 กำหนดว่า เรื่องปัญหาพื้นที่ ให้เป็นเรื่องระหว่าง 2 ประเทศไทย-กัมพูชา และที่สำคัญ MOU43 ยังกำหนดให้ทั้งไทย-กัมพูชา จะต้องร่วมกันในการกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ เพื่อให้อนุกรรมาธิการ JTSC สามารถลงพื้นที่สำรวจเขตแดนในการจัดทำแผนที่ใหม่ได้อย่างปลอดภัยด้วย
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ยังย้ำอีกว่า ถ้าจะยกเลิก MOU43 ก็ไม่สามารถหนีข้อเท็จจริงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 ได้ เพราะถือเป็นแม่บทกำหนดรายละเอียดไว้ และไม่สามารถหนีแผนที่ 1 : 200,000 ได้ และถ้าจะยกเลิกไป ก็ต้องกลับไปใช้เอกสารทั้งหมด ซึ่งถูกรวบรวมไว้ใน MOU43 หรือเป็นการกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตามกลไกที่มีอยู่ รวมถึง MOU43 ยังเป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์การไม่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นกฎสำคัญให้ทั้ง 2 ฝ่ายปฏิบัติตาม เพราะปัจจุบัน ก็เห็นชัดเจนว่า ฝ่ายใดเป็นผู้ผิดกฎเกณฑ์ และการสำรวจจัดทำเขตแดน ชุดสำรวจจะต้องได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล จึงป็นหน้าทั้ง 2 ฝ่ายในการเก็บกู้ และมีการตกลงร่วมใจกันแล้วในการใช้กลไก MOU43 ร่วมกัน โดยไม่อ้างถึงบุคคลที่ 3
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากข้อมูลของฝ่าย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เคยเขียนบทความเรื่อง “ความจริง 195 กิโลเมตร ไทย-กัมพูชา ไม่ต้องปักปันใหม่อะไรทั้งสิ้นแล้ว” เผยแพร่วันที่ 8 มิถุนายน 2568 มีข้อความสำคัญตอนหนึ่งว่า จากช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ ไปทางทิศตะวันออกถึงช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี แผ่นดินเหนือสันปันน้ำ คือแผ่นดินไทยทั้งหมด ไม่ต้องมีการปักปันใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้นแล้ว
เช่นเดียวกับหลักเขตที่ 1 ถึงหลักเขตที่ 73 คณะกรรมการปักปันสยามกับฝรั่งเศส ก็ได้ “ปักปัน” เสร็จสิ้นไปหมดแล้วตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนที่สูญหายไปก็ให้จัดทำขึ้นมาทดแทนเท่านั้น รวมถึงปราสาทตามเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย อยู่หลังแนวสันปันน้ำฝั่งไทยเช่นเดียวกัน และควรจะนำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของฝ่ายไทยโดยเร็ว
เมื่อมีการรุกล้ำราชอาณาจักรไทยแนวสันปันน้ำต้องผลักดันผู้รุกรานออกไปสถานเดียว ไม่มีคำว่า No Man’s Land มีแต่ “Thailand”
ส่วนเรื่อง MOU43 ซึ่งไปเชื่อมโยงกับ MOU44 โดยมีจุดเชื่อมคือ หลักเขตที่ 73 ณ บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ก็คือ การนำการเจรจาปักปันเขตแดนบนบก ตาม MOU43 ไปเจรจาต่อรองเพิ่มเติมกับการเจรจาเขตแดนทางทะเลตาม MOU44 ที่อ้างอิงไปถึงเรื่องการเคลม “ครึ่งนึงของเกาะกูด” ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่เป้าหมายหลักนั้นคือ ผลประโยชน์ของทรัพยากรทางทะเลที่ซ่อนอยู่ในอ่าวไทยมูลค่านับเป็นล้านล้านบาท !!!
ดังนั้นก็ต้องจับตากันต่อไปในการประชุมวุฒิสภา วันที่ 26 สิงหาคมนี้ จะสามารถพิจารณาญัตติศึกษาข้อดีข้อเสียของเอ็มโอยู 43-44 ได้หรือไม่ และหากพิจารณาจากข้อมูลที่ผ่านมาอย่างรอบด้านแล้วก็พอมองเห็นได้ว่า “ฝ่ายผู้มีอำนาจ” ทั้งกัมพูชาและไทย ล้วนมีเป้าหมายลึกๆ นั่นคือผลประโยชน์ในทะเลเป็นหลักที่อ้างเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรพลังงานอันมหาศาล ที่บางคนต้องแบ่งผลประโยชน์ “แบบครึ่งๆ” นั่นแหละ ขณะเดียวกันก็ถือว่าโชคดีที่เกิดรายการแตกคอกันเสียก่อนระหว่างสองตระกูลใหญ่ คือ “ฮุนกับชินวัตร” นำโดย ฮุน เซน และ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทุกอย่างบานปลาย แต่ที่สำคัญทำให้คนไทย “ตาสว่าง” แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน !!