xs
xsm
sm
md
lg

ตาสว่าง เสียอธิปไตยให้เขมร จี้เลิกเอ็มโอยู 2543 !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

หากไม่มีการสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในรอบสี่ห้าวันที่ผ่านมา เราคงไม่รู้ว่า เรา(ไทย)ได้สูญเสียอธิปไตยให้กับกัมพูชา มานานหลายปีแล้ว จนกระทั่งผลจากการสู้รบของทหารไทยที่ “พลีชีพ” ไปจำนวนหนึ่ง (7 นาย) จนสามารถเชิญธงไตรรงค์ ขึ้นสู่ยอดเสาทั้งที่ “ภูมะเขือ” และล่าสุดตามรายงานระบุว่าที่ “ช่องอานม้า” ก็เพิ่งมีการเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา เมื่อตอนเช้าวันที่ 27 กรกฎาคม นี้เอง โดยมีการใช้คำว่า “ยึดคืนกลับมาได้สำเร็จ”

แน่นอนว่า นี่คือ “ข่าวดี” สำหรับคนไทยทั้งมวล และเป็นวีรกรรมอันสุดกล้าหาญของพี่น้องทหารที่เสียสละชีวิตและเลือดเนื้อแลกมา จนสามารถผลักดันศัตรูออกไปได้สำเร็จ และตลอด 4 วันที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ที่ฝ่ายกัมพูชา ภายใต้บัญชาการของ “สองพ่อลูก” นายฮุนเซน และ ฮุน มาเนต เปิดฉากโจมตีบริเวณ “ฐานหมูป่า” ใกล้กับปราสาทตาเมือน ในตอนเช้ามืดวันที่ 24 กรกฎาคม จากนั้นสถานการณ์ก็ลุกลามบานปลาย โดยฝ่ายกัมพูชา ได้ขยายแนวรบตลอดแนวชายแดนตั้งแต่ จังหวัดอุบลราชธานีลงมาจนถึงจังหวัดจันทบุรี และตราด นั่นหมายความว่า ตลอดแนวชายแดนราว 800 กิโลเมตร ตั้งแต่บนบกจนถึงทะเล มีการปะทะกันตลอดแนว

ที่น่าตกใจก็คือ ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้จรวดหลายลำกล้อง ระดมยิงโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย สร้างความเสียหายให้กับชาวบ้าน หลังจากมีระเบิดยิงเข้าไปในพื้นที่ชุมชน ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่หนาแน่น เช่น โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมันที่มีร้านสะดวกซื้อ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี การสู้รบที่เกิดขึ้นในช่วง 4-5 ที่ผ่านมา ล่าสุดฝ่ายทหารไทยก็สามารถรุกรบจนสามารถยึดคืนพื้นที่กลับมาได้แล้ว แต่ขณะเดียวกัน ก็เกิดคำถามตามมาหลังจาที่มีภาพข่าวที่ปรากฏในบางพื้นที่ ทั้งที่เป็นพื้นที่ “จุดยุทธศาสตร์” สำคัญที่มีการระบุว่า “ยึดคืน” รวมไปถึงการ “ชักธงชาติ” ขึ้นสู่ยอดเสา เช่น ที่ “ภูมะเขือ” เขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ

สำหรับพื้นที่ที่มีการสู้รบกันหนักมีรายงานว่ามีจำนวน 6 แห่ง คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก เขาพระวิหาร (ห้วยตามาเรีย ภูมะเขือ) ช่องอานม้า และ ช่องจอม เป็นต้น

ขณะเดียวกันก็ยังมีรายงานระบุว่า พื้นที่บริเวณ “ปราสาทตาควาย” ทางฝ่ายทหารไทย ยังไม่สามารถยึดได้เบ็ดเสร็จ ส่วนปราสาทตาเมือนธม นั้นถือว่าเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว

อย่างไรก็ดี ด้วยบรรยากาศบีบคั้น หลังจาก โดนประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณแบบ “ยื่นคำขาด” มาถึงรักษาการนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย ให้ ไทย-กัมพูชา ต้องหยุดยิงทันที เพื่อแลกกับการ “ลดภาษี” นำเข้าสหรัฐฯ ที่เวลานี้ได้ประกาศเก็บทั้งสองประเทศที่ 36 เปอร์เซ็นต์ ไม่เช่นนั้นจะไม่เจรจาลดภาษีลงมาก่อนเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมนี้

แน่นอนว่า งานนี้ สำหรับฝ่ายกัมพูชาแล้วถือว่า“เป็นทางลง” ที่ดี เพราะเป็นการสู้รบที่ไม่มีทางชนะ หรือยิ่งรบยิ่งแพ้ และเสี่ยงเสียดินแดนให้ไทย หรืออย่างน้อยพื้นที่ ที่ตัวเองเคย “เคลม” เอาไว้ก็จะถูกฝ่ายไทยยึดคืนกลับไปทั้งหมด ดังนั้น เมื่อลักษณะบีบคั้นแบบนี้ ทำให้ไทยต้องมีความรอบคอบรัดกุม และต้องใช้ประสบการณ์ในอดีตหลังเหตุการณ์เมื่อปี 54 มาเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้เขมรสร้างปัญหาในอนาคตได้อีก

ขณะเดียวกัน ต้องมาตั้งข้อสังเกตกันอีกครั้งว่าที่ผ่านมาเราได้เสียพื้นที่อธิปไตยให้กัมพูชาไปนานหลายปี อย่างน้อยก็คือพื้นที่ “ภูมะเขือ” บริเวณเขาพระวิหาร ที่ฝ่ายทหารไทยเพิ่งยึดคืนกลับมาได้ ที่นี่ฝ่ายกัมพูชา ได้สร้างฐานทางทหาร มีเสาสัญญาณ และมีการสร้างกระเช้าขึ้นไปแบบถาวร ปราสาทตาเมือนธม ที่ยึดได้เบ็ดเสร็จ ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี ก็เพิ่งยึดคืนกลับมาได้ ขณะที่ “ปราสาทตาควาย” กำลังลุ้นอยู่ว่าจะยึดเบ็ดเสร็จได้หรือไม่ หรือว่าจะให้ทหารกัมพูชา เข้ามาอยู่ร่วมเหมือนกับปราสาทตาเมือนธม หลังการปะทะเมื่อปี 54 อีกหรือไม่

หากมองย้อนกลับไปรับรองว่า พื้นที่ดังกล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นของไทยแบบไม่ต้องสงสัย บางพื้นที่ เช่น ปราสาทตาเมือนธม ก็ถูกประกาศเป็นโบราณสถานมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ที่ผ่านมาเป็นเพราะเรามีรัฐบาล มีฝ่ายบริหารที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว และมีนายทหารระดับสูงบางนาย ที่ไม่รับผิดชอบ มีผลประโยชน์ตามชายแดน ทำให้เราต้องเสียอธิปไตยเหล่านี้มานาน ดังนั้น ถึงเวลานี้ที่ต้อง “เอาคืน” และจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างจริงจังเสียที

อีกทั้งยังมีข้อเสนอให้มีการ “ยกเลิกเอ็มโอยู” ทั้ง “เอ็มโอยู 43” และ เอ็มโอยู 44” ที่สร้างปัญหามาจนถึงทุกวันนี้ ขณะเดียวกันให้ใช้มาตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 5 หมื่น เหมือนกับที่สากลทุกประเทศใช้กันอยู่ ไม่ใช่ 1 ต่อ 2 แสน ที่สร้างปัญหาให้กับไทย ต้องเสียพื้นที่ให้กับกัมพูชาเรื่อยมา ซึ่งมีหลายคนสนับสนุน

นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊ก Veerapun Suvannamai เรื่อง ยกเลิก MOU 2543 , 2544 ทันที และกลับใช้แผนที่ 1 : 50,000 เรียน ท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทุกท่าน

ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา ผมขอแสดงความเห็นว่า การหยุดสงครามโดยเร็วเพื่อยุติการนองเลือดและโศกนาฏกรรมของพลเรือนผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง นี่คือความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ที่เราต้องทำเพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน

สถานการณ์ขณะนี้ คือ โอกาสให้รัฐบาลจัดการยกเลิก MOU ปี 2543 และ 2544 ด้วยเลยในทันที ข้อตกลงที่ล้มเหลวเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นต้นตอของความขัดแย้ง ไม่ใช่ทางออก

นอกจากนั้น เราต้องเปลี่ยนไปใช้ แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ในการปักปันเขตแดน ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ประเทศอาเซียนจำนวนมากใช้และประสบความสำเร็จ
โอกาสมาแล้ว เลือดเนื้อไทยก็เสียไปแล้ว อย่าทำให้คนไทยต้องผิดหวังกับการบริหารประเทศของท่านอีกเลย

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากสัญญาณล่าสุดแล้ว เชื่อว่ากำลังจะมีการเจรจาหยุดยิงกันแล้วทั้งสองฝ่าย ตามแรงบีบของประธานาธิบดีสหรัฐ เพื่อสร้างผลงาน “สันติภาพ” เพื่อแลกกับการลดภาษีนำเข้า ที่ไทยก็เลี่ยงได้ยาก แต่อยากให้สรุปบทเรียนในอดีต และที่สำคัญต้องให้ยกเลิกเอ็มโอยู 43-44 ที่เป็นต้นตอปัญหา และให้ยึดอัตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 5 หมื่น ตามมาตรฐานสากล เพื่อไม่ให้เป็นภาระลูกหลานในอนาคตกันอีก !!


กำลังโหลดความคิดเห็น