เมืองไทย 360 องศา
เริ่มมีคำถามมากขึ้น สำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังจากทำหน้าที่ผู้นำบริหารราชการแผ่นดินมากว่าสัปดาห์แล้ว เนื่องจากหลายคนเริ่มเห็นพฤติกรรม และท่าทีที่ไม่เหมือนเดิม นั่นคือผิดไปจากก่อนหน้านี้ ตอนที่ยังไม่ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เช่น กรณี “เอ็มโอยู 43” ที่เขามีท่าทีค่อนข้างชัดเจนว่า “ต้องการให้ยกเลิก” แต่เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขากลับเสนอให้ลงประชามติ อ้างว่าเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม
ทำให้เริ่มมีเสียงวิจารณ์ทันทีว่า เขากำลัง “ผลักภาระ”ให้กับประชาชน ทั้งที่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่อง “ซับซ้อน เข้าใจยาก” ซึ่งหากจะยกเลิก หรือไม่ยกเลิก ก็สามารถใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรีตัดสินใจได้ และสามารถยกเลิกฝ่ายเดียวได้ ไม่จำเป็นต้องหารือกับฝ่ายกัมพูชา หากเห็นว่าการมีเอ็มโอยู มานานหลายสิบปีมาแล้วแต่ไม่มีประโยชน์ มีแต่ถูกละเมิดมาตลอด
สิ่งที่สามารถยืนยันได้อย่างดีว่า ชาวบ้านไม่ค่อยมีความเข้าใจในเรื่องเอ็มโอยู 43 รวมทั้ง เอ็มโอยู 44 สะท้อนผ่านทางผลสำรวจของ “นิด้าโพล” เกี่ยวกับความเข้าใจของประชาชนต่อ MOU 43 และ MOU 44 ก่อนการทำประชามติ จากการสำรวจ เมื่อถามความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง MOU 43 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 44.12 ระบุว่า ไม่เข้าใจเลย รองลงมา ร้อยละ 24.96 ระบุว่า ไม่ค่อยเข้าใจ ร้อยละ 23.13 ระบุว่า ค่อนข้างเข้าใจ และร้อยละ 7.79 ระบุว่า เข้าใจมาก
ด้านความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง MOU 44 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 45.73 ระบุว่า ไม่เข้าใจเลย รองลงมา ร้อยละ 24.96 ระบุว่า ไม่ค่อยเข้าใจ ร้อยละ 22.44 ระบุว่า ค่อนข้างเข้าใจ และ ร้อยละ 6.87 ระบุว่า เข้าใจมาก
แม้ว่าในผลสำรวจดังกล่าวชาวบ้านส่วนใหญ่ยังมีความต้องการที่จะลงประชามติในเรื่องดังกล่าวก็ตาม แต่สาระสำคัญก็คือ ชาวบ้านจำนวนมาก ยังไม่มีความเข้าใจในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเอ็มโอยู ทั้ง 43 และ 44
ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (อดีต กกต.) โพสต์หัวข้อ “ประชามติในวันเลือกตั้ง ทำได้แต่ไม่ง่ายนัก” ระบุว่า หากยุบสภา 31 มกราคม 2569 ต้องเลือกตั้งภายใน ไม่น้อยกว่า 45วัน และไม่เกิน 60 วัน โดย กกต. มักจะเลือกอาทิตย์สุดท้ายก่อนครบ 60 วัน เป็นวันเลือกตั้ง จึงน่าจะเป็น วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569
หากอยากจะให้มีประชามติในวันเลือกตั้ง กม.ประชามติ กำหนดว่า การทำประชามติจะต้องดำเนินการภายในเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน แต่ไม่เกิน 120 วัน หลังจากวันที่ ครม. มีมติให้ทำประชามติ
กรอบเวลาที่เหลื่อมกันดังกล่าว หมายความถึง ครม.ต้องมีมติให้ทำประชามติ อย่างน้อย 1 เดือน ก่อนยุบสภา คือ ต้องมีมติก่อนสิ้นปี 2568 สิ่งที่ต้องพร้อมในวันประชุมครม. วันนั้น มีอะไรบ้าง
1. คำถามประชามติ ที่ชัดเจน ที่พร้อมส่งให้ กกต.นำไปใช้ในการทำประชามติ 2. การอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปรึกษากับกกต.แล้ว 3. หากเป็นการถามเกี่ยวกับ วิธีการ และสาระสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ต้องมี ร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ที่เรียกกันว่า หมวด 15/1 แทรกเพิ่มให้มีวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดย สสร. (หรือจะชื่ออะไรก็แล้วแต่) ที่ผ่าน 3 วาระ ของรัฐสภาตามเงื่อนไขใน มาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ 4. ทั้งหมดนี้ มีเวลา 3 เดือน จากปัจจุบัน ที่จะพิสูจน์ฝีมือ อ.บวรศักดิ์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลด้านกฎหมาย
ขณะเดียวกัน เรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ในความรู้สึกของคนไทยตลอดเวลา เพราะแม้แต่กรณีคำพูดของ แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ ที่มาแทน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการ คือ พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ กล่าวถึงกรณีปราสาทคนา ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ที่กำลังเป็นข้อพิพาท หลายคนเกิดความเป็นห่วงว่าจะถูกฝั่งกัมพูชายึดครอง ว่า ปราสาทคนา ตั้งอยู่บริเวณแนวชายแดน ตอนนี้บริเวณปราสาทคนา เป็นพื้นที่สำรวจร่วม เพื่อจัดทำหลักเขตแดน โดยตอนนี้ทหารฝั่งไทย และฝั่งกัมพูชาต่างอยู่กันในพื้นที่ของตัวเอง ยืนยันว่า ตัวปราสาทยังไม่มีใครยึดครอง นอกจากนี้บริเวณแนวใกล้กับตัวปราสาท ยังเป็นพื้นที่ต้องเก็บกู้ทุ่นระเบิด
จากคำพูดดังกล่าว ที่บอกว่า “เป็นพื้นที่สำรวจร่วม” เท่านั้นแหละ เขาก็โดน“ทัวร์ลง” ยับเยิน เพราะคำพูดดังกล่าวเท่ากับไปยอมรับว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชา เพราะแม้แต่ทางโฆษกกองทัพบก พล.ต.วินธัย สุวารี จะแถลงว่า พื้นที่ดังกล่าว เป็นของไทย และปัจจุบันยังไม่มีใครครอบครอง รวมไปถึงการพูดถึงการสร้างรั้วตามแนวชายแดนว่า “ต้องหารือกันทุกฝ่าย” ซึ่งหมายถึงต้องหารือกับกัมพูชาด้วย ถือว่าพูดสวนทางกัน กลายเป็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ ถูกวิจารณ์ว่า ไม่เข้มแข็งเหมือนกับแม่ทัพภาค 2 คนก่อน
แม้ว่าล่าสุด พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งย้ำว่า ไม่เพียงแค่รั้วลวดหนามอย่างเดียว แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่น เพื่อเสริมความมั่นคง เช่น การติดกล้อง CCTV เพื่อสอดส่องในเวลากลางคืน ส่วนรั้วจะทำตลอดแนวชายแดนหรือไม่นั้น แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า จริงๆ แล้ว รั้วในพื้นที่สำคัญ ทางยุทธวิธี ก็วางก่อน ส่วนจะขยายอย่างไร เป็นเรื่องของอนาคต โดยอันดับแรก เราทำในส่วนการป้องกันตัวเองก่อน ทำให้กำลังพลเราปลอดภัย ก็ต้องวาง เพราะเมื่อ“ทหารปลอดภัย คนก็จะปลอดภัย”
ความเคลื่อนไหว และท่าทีดังกล่าวทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเป็นเรื่องกระทบกับความรู้สึกของคนไทยค่อนข้างเร็วมาก ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังให้ดี ไม่เช่นนั้นจะพลาดพลั้งเอาได้ง่ายๆ เหมือนกับกรณี “เอ็มโอยู 43” ที่นายกรัฐมนตรี เตรียมที่จะให้มีการลงประชามติ ก็กำลังจะย้อนกลับมาในทางลบมากขึ้น เพราะกลายเป็นถูกมองว่า มีเจตนาผลักภาระ ไม่กล้าตัดสินใจ หรือเหมือนกับว่า “มีเบื้องหลัง” อะไรหรือเปล่า เพราะการยกเลิกเอ็มโอยู นอกเหนือจากเรื่องผลประโยชน์ของชาติแล้ว ที่สำคัญยังต้อง “มีความกล้าหาญ” เป็นองค์ประกอบหลักอีกด้วย
ดังนั้น หากให้ประเมินเวลานี้ สำหรับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ผู้นำรัฐบาล“เฉพาะกิจ” จะมีความเสี่ยงจากการเป็นรัฐบาล “เสียงข้างน้อย” แล้ว มีโอกาสคว่ำไปก่อนอายุ 4 เดือน จากการถูก “ซักฟอก” ของฝ่ายแค้น และฝ่ายค้านแล้ว ยังมีความเสี่ยงต่อ “ความรู้สึก” ของคนไทย เพราะหากถูกมองว่าไม่เข้มแข็ง เด็ดขาด โลเลในเรื่องสำคัญดังกล่าว เขาที่เหมือนกับ “ไต่อยู่บนเส้นด้าย” อยู่แล้ว จะยิ่งอายุสั้นลงไปอีก และผ่านมาแค่สัปดาห์เศษ ก็เริ่มมีคำถามแบบนั้นมากขึ้นแล้ว โดยเฉพาะเรื่องปัญหาชายแดน ต้องระวังให้จงหนัก!!