เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดผลก็ออกมาแล้ว หลังจากบรรดาที่รอคอย (นักการเมือง) มานานกว่า 4 ปี ว่าจะสามารถทำประชามติ แก้ไขรัฐธรรมนูญกี่ครั้ง จากการที่เคยเถียงกันว่าจะต้องทำประชามติ 2 ครั้ง หรือว่า 3 ครั้ง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมากว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง และยังวินิจฉัยว่า ไม่อาจเลือกตั้ง ส.ส.ร.โดยตรงมาร่างรัฐธรรมนูญ อีกทั้งในการทำประชามติ ต้องระบุว่าจะมีวิธีการ และมีเนื้อหาที่จะแก้ไขอย่างไรด้วย
ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่ม หรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน ทั้งนี้ การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภา ไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากประธานรัฐสภา ส่งความเห็นของสมาชิกรัฐสภา ในคราวประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 6 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เมื่อวันจันทร์ ที่ 17 มี.ค.68 ซึ่งพิจารณาญัตติด่วนที่ นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้เสนอให้รัฐสภาพิจารณา และที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นด้วย ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ตามญัตติที่เสนอ
โดยตุลาการเสียงข้างมาก 5 เสียง ในประเด็นนี้ ประกอบด้วย นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์
2 เสียงข้างน้อย คือนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ ที่เห็นว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย2560 รัฐสภาไม่มี อำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เว้นแต่จัดให้มีการออกเสียงประชามติให้ความ เห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นอกจากนี้ ตุลาการเสียงข้างมาก 6 ต่อ 1 ยังวินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร
และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียง ประชามติว่า เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือไม่
โดยการออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้
ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 6 เสียง ประกอบด้วย นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ส่วน1 เสียงข้างน้อย คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 3
มีรายงานว่า สำหรับคดีนี้ ที่มีตุลาการนั่งเป็นองค์คณะ 7 คน เนื่องจากก่อนหน้านี้นายอุดม รัฐอมฤต ได้รับอนุญาตให้ถอนตัว ไม่ร่วมพิจารณาวินิจฉัยคดีตั้งแต่เริ่มการพิจารณา เนื่องจากนายอุดมเคยทำหน้าที่เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและเคยให้ถ้อยคำหรือความเห็นในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญในคดีนี้ ส่วนนายปัญญา อุดชาชน พ้นจากตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากครบวาระ และนายสราวุธ ทรงศิวิไล ซึ่งได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ จึงยังไม่ได้ร่วมพิจารณาวินิจฉัยคดี
ผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว สอดคล้องกับผลการสำรวจของ“นิด้าโพล” ก่อนหน้านี้ ที่ผลออกมาว่า ชาวบ้านมีแนวโน้มต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่เสียงส่วนใหญ่ต้องการให้ “แก้ไขรายมาตรา” ไม่ใช่ร่างใหม่ทั้งฉบับ
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “ยุบสภาในสี่เดือนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 ก.ย. 2568 พบว่า จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับข้อเสนอให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรภายในสี่เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 59.24 ระบุว่า ควรยุบสภาฯโดยเร็วที่สุด ไม่ต้องรอสี่เดือน รองลงมา ร้อยละ 27.17 ระบุว่า เห็นด้วยกับการยุบสภาฯ ภายในสี่เดือน ร้อยละ 9.54 ระบุว่า ไม่ควรยุบสภาฯ แต่ควรรอให้สภาฯชุดนี้หมดวาระในปี 2570 ร้อยละ 2.52 ระบุว่า ควรยุบสภาฯภายในหกเดือน และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ควรยุบสภาฯ ภายในหนึ่งปี
ด้านความต้องการของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.56 ระบุว่า ต้องการมาก รองลงมา ร้อยละ 28.17 ระบุว่า ไม่ต้องการเลย ร้อยละ 21.76 ระบุว่า ค่อนข้างต้องการ และร้อยละ 9.99 ระบุว่า ไม่ค่อยต้องการ
ท้ายที่สุด เมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าต้องการมากและค่อนข้างต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (จำนวน 777 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับรูปแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชนต้องการ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 74.39 ระบุว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา รองลงมา ร้อยละ 24.71 ระบุว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และร้อยละ 0.90 ระบุว่า ไม่ตอบ
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว นอกเหนือจากลบข้อถกเถียงว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้งแล้ว ยังไม่สามารถเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรง เพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนฉบับปัจจุบันอีกด้วย
ทั้งนี้ มีพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาชน ที่นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ต้องการให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับขึ้นมา โดยต้องการให้มีการเลือกตั้งส.ส.ร.โดยตรง และเป็น 1 ใน 5 เงื่อนไข และเป็นข้อตกลงในการโหวตหนุนให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลานี้ นอกเหนือจากการให้ยุบสภาภายใน 4 เดือน
อย่างไรก็ดี ผลจากคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนกับเป็นการ “ดับฝัน” การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ ที่ถูกมองว่ามีเจตนาต้องการ “แก้ไขหรือยกเลิก” หมวด 1 และ 2 ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากผลสำรวจก่อนหน้านี้ ก็สอดคล้องกันว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชาวบ้านต้องการให้ “แก้ไขแบบรายมาตรา” ไม่ใช่ทั้งฉบับ
นอกเหนือจากนี้ ในบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปตอนนี้ หากพิจารณาจากอารมณ์ของชาวบ้าน มองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน หรือจำเป็น เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นแค่ความต้องการของนักการเมือง และพรรคการเมืองเท่านั้น ขณะเดียวกันยังเห็นว่ารัฐธรรมนูญที่มีความเข้มงวดเรื่องจริยธรรมของนักการเมือง เป็นสิ่งจำเป็น และการลงประชามติ ยังต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลไม่ต่ำว่าครั้งละ 3 พันล้านบาท แต่ผลของการร่างฉบับใหม่ ก็จะได้นักการเมืองแบบเดิมๆ เข้ามาอีก ดังนั้น เมื่อผลออกมาแบบนี้ มันก็ไม่ต่างจากการ “ดับฝัน” พรรคส้ม นั่นเอง !!