“ดร.สุวันชัย” เผย 3 เหตุผลหลักควรยกเลิก MOU2543 ชี้ข้อกำหนดหลายข้อปฏิบัติไม่ได้จริง ใช้แผนที่ที่ไทยไม่รับรอง เปิดช่องให้กัมพูชาละเมิด ไม่เป้นไปตามรัฐธรรมนูญเพราะไม่ผ่านรัฐสภา และเส้นเขตแดนที่ได้ตามข้อตกลงนี้จะขัดรัฐธรรมนูญกัมพูชาเอง
จากกระแสถกเถียงที่มีต่อ MOU2543 ว่า ควรจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก นั้น ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง ได้เขียนบทความเรื่อง เขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ตอนที่ 1: สิ่งที่เป็นปัญหาของ MOU 2543 เพื่อแสดงความเห็นเรื่องดังกล่าว มีใจความสรุปได้ว่า
หลังจากมีการทำ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก” หรือ MOU 2543 ที่ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 แล้ว ไทยและกัมพูชายังมีความขัดแย้งเรื่องเขตแดนจนถึงขั้นสู้รบกันหลายครั้ง โดยสิ่งที่เป็นปัญหาของ MOU 2543 ที่ทำให้เกิดความคิดว่าควรยกเลิก มีอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้
1.ปัญหาจากข้อกำหนดบางข้อของ MOU 2543 ที่สร้างปัญหาในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะข้อ 1 (ค), ข้อ 5 และข้อ 8 ดังนี้
ข้อ 1 (ค) กำหนดให้ใช้ “แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม–อินโดจีน” แต่ในทางปฏิบัติได้ตีความว่าเป็น “แผนที่มาตราส่วน 1:200,000” ซึ่ง JBC ไทย–กัมพูชาเคยรับรองร่วมกัน ทั้งที่แผนที่ดังกล่าวจัดทำโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียว ไม่ได้รับรองจากคณะกรรมการฝ่ายไทย และไทยไม่เคยยอมรับว่าเป็นแผนที่ตามผลงานคณะกรรมการปักปันฯ มาก่อนการลงนาม MOU 2543 อีกทั้งศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร (พ.ศ.2505) ก็ไม่ได้ตัดสินรับรองว่าเส้นเขตแดนต้องเป็นไปตามแผนที่ดังกล่าว ทั้งยังมีผู้พิพากษาบางส่วนเห็นว่าเส้นแผนที่ 1:200,000 เบี่ยงจากแนวสันปันน้ำจริงที่ระบุไว้ในสนธิสัญญา ค.ศ.1904 และ 1907 จึงเป็นปัญหาต่อความถูกต้องของเขตแดน
ข้อ 5 กำหนดให้หน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย “งดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในพื้นที่ชายแดน” เพื่อไม่ให้กระทบต่อการสำรวจ แต่ข้อกำหนดนี้จำกัดเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ครอบคลุมถึงประชาชน จึงเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชาใช้ “ประชาชน” เป็นเครื่องมือรุกคืบเข้ามาในพื้นที่ เช่น เหตุการณ์ปี 2551 ที่ชาวกัมพูชาเข้ามาตัดไม้และบุกรุกในเขตไทย โดยอ้างคำสั่งจากทหารกัมพูชา ถือเป็นการเปลี่ยนสภาพพื้นที่โดยอ้อม ซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตการบังคับของข้อ 5
ดังเช่นกรณี เมื่อ 13 ส.ค.51 มีประชาชนชาวกัมพูชาเข้ามาบุกรุกและทำลายป่าในเขตประเทศไทย บริเวณ บ.หนองหญ้าแก้ว หมู่ที่ 9 ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ชปข.กกล.บูรพา ร่วมกับ ฉก.ตชด.12 เข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ที่ได้รับแจ้ง หลังจุดตรวจ ตชด.ที่ 39 ไปทางหน้าแนวลวดหนาม ห่างจุดตรวจประมาณ 400 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 600 เมตร พบว่าได้มีการตัดไม้ทำลายป่าในเขตประเทศไทย บริเวณ พิกัด TA 57593060 เนื้อที่ถูกทำลายไปประมาณ 30 ไร่ เป็นไม้เบญจพรรณทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ถูกตัดถากถางในสภาพยังใหม่อยู่ พื้นที่บริเวณที่มีการบุกรุก ตัดไม้ห่างจากลวดหนามที่กั้นเขตแดนไว้ ลึกเข้ามาในฝั่งไทยประมา 100 เมตร จากการสอบถามกับแหล่งข่าวในพื้นที่ทราบว่าประชาชนชาวกัมพูชาที่เข้ามาบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าในฝั่งไทย อ้างว่าได้รับคำสั่งจากนายทหารชาวกัมพูชาที่รับผิดชอบในพื้นที่ให้เข้ามาบุกรุกตัดไม้ในฝั่งไทย”
ข้อ 8 ระบุให้ “ระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี ผ่านการปรึกษาหารือและการเจรจา” แต่ที่ผ่านมา ไทยได้เจรจาและยื่นหนังสือประท้วงต่อกัมพูชาหลายร้อยครั้ง กัมพูชายังไม่ยุติการกระทำที่ละเมิดพื้นที่ การใช้ช่องทางสันติวิธีจึงไม่ได้ผล จำเป็นต้องปรับปรุงข้อ 8 ให้มีมาตรการเพิ่มเติมในการระงับข้อพิพาท ตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงมาตรการที่เข้มข้นกว่า เพื่อให้สามารถปกป้องอธิปไตยและรักษาความมั่นคงของพื้นที่ชายแดนได้จริง
2.MOU 2543 ถูกมองว่าเป็น “หนังสือสัญญาที่มีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐ” แต่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 224 วรรคสอง เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นยอมรับ “แผนที่มาตราส่วน 1:200,000” ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำฝ่ายเดียว ว่าเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม–อินโดจีน ทั้งที่คณะกรรมการฝ่ายไทยไม่เคยรับรอง แผนที่ดังกล่าวมีเส้นเขตแดนคลาดเคลื่อนจากแนวสันปันน้ำจริงตามสนธิสัญญา ค.ศ.1904 และ 1907 ส่งผลให้ไทยสูญเสียพื้นที่ตามหลักเขตแดนที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ข้อ 5 ของ MOU 2543 ยังบังคับให้เจ้าหน้าที่ไทย “งดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชายแดน” แม้ในพื้นที่ที่เป็นของไทยชัดเจน หากมีกัมพูชารุกล้ำก็ไม่สามารถดำเนินการตอบโต้ได้ทันที จึงถือว่า MOU 2543 มีผลจำกัดอำนาจรัฐไทยและเปลี่ยนแปลงสถานะพื้นที่ชายแดนโดยพฤตินัย แต่รัฐบาลกลับไม่เสนอให้รัฐสภาพิจารณารับรองก่อนลงนาม ถือเป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
3.ปัญหาที่แผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาที่จัดทำขึ้นตาม MOU 2543 จะไม่ได้รับการรับรองเนื่องจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เนื่องจากรัฐธรรมนูญกัมพูชา ค.ศ.1993 กำหนดใน มาตรา 2 ว่าดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชาต้องไม่ถูกละเมิด และให้ยึดเขตแดนตาม แผนที่มาตราส่วน 1:100,000 ซึ่งจัดทำระหว่างปี 1933–1953 และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติช่วงปี 1963–1969 ส่วน มาตรา 55 กำหนดว่าสนธิสัญญาหรือข้อตกลงใดที่ขัดต่อเอกราชหรือบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาให้ถือเป็นโมฆะ
แผนที่มาตราส่วน 1:100,000 นี้เป็นผลจากการ “แปลงและตรวจสอบใหม่” จากแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำฝ่ายเดียวในปี 1907 โดยนำมาขยายรายละเอียดเพิ่มเติมในช่วงต้นทศวรรษ 1950 ดังนั้น แผนที่ที่รัฐธรรมนูญกัมพูชายึดถือจึงมีรากฐานมาจากแผนที่ 1:200,000 ที่ไทยไม่เคยยอมรับว่าเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม–อินโดจีน
เมื่อ MOU 2543 กำหนดให้ไทย–กัมพูชาร่วมกันจัดทำแผนที่ใหม่เพื่อรับรองเส้นเขตแดนทางบก ทั้งสองฝ่ายต้องนำผลลัพธ์เข้ากระบวนการรับรองตามกฎหมายภายในประเทศ แต่สำหรับกัมพูชา หากแผนที่ใหม่นี้ “ไม่ตรง” กับแผนที่ 1:100,000 ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องถูกยกเลิกตามมาตรา 55 ขณะที่หากแผนที่ใหม่ “ตรงตามแผนที่เดิมของฝรั่งเศส” ไทยก็จะไม่สามารถรับรองได้ เพราะขัดกับอนุสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 ซึ่งกำหนดให้เส้นเขตแดนต้องเป็นไปตาม “แนวสันปันน้ำจริง”
ดังนั้น ไม่ว่าผลการจัดทำแผนที่ตาม MOU 2543 จะออกมาในลักษณะใด ก็มีแนวโน้มสูงว่าจะไม่ได้รับการรับรองจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากตรงตามข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ กัมพูชาจะไม่ยอมรับเพราะขัดรัฐธรรมนูญ แต่หากยึดตามแผนที่ฝรั่งเศส ไทยก็ไม่อาจรับรองได้เพราะกระทบอธิปไตย ผลคือการดำเนินการตาม MOU 2543 ย่อมเสียเปล่า ทั้งเสียเวลาและเปิดโอกาสให้กัมพูชารุกคืบพื้นที่ชายแดนไทยต่อเนื่องระหว่างกระบวนการดำเนินงาน.
อ่านบทความฉบับเต็ม เขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ตอนที่ 1: สิ่งที่เป็นปัญหาของ MOU 2543