xs
xsm
sm
md
lg

“เทพมนตรี” ร่อน จม.เปิดผนึกถึงอธิบดี ค้านกอด MOU43 ย้ำใช้ไม่ได้ผล เป็นเหตุต้องรบกัน ชี้แผนที่ 1/200,000 เก๊

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เทพมนตรี” ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ชี้ข้ออ้าง MOU43 มีประโยชน์ สวนทางความเป็นจริงที่ใช้ไม่ได้ผล เขมรละเมิดมาตลอด ไทยต้องประท้วง 600 กว่าครั้ง สุดท้ายก็ต้องรบกัน ย้ำแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นแผนที่เก๊ ไทยไม่ยอมรับตั้งแต่คดีประสาทพระวิหาร ถ้ายกเลิกก็ยังมีรายงานการประชุม บันทึกวาจา แผนที่กํากับหลักเขตแต่ละหลักเขต มาตราส่วน 1/1,000-10,000 ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสปี 1907 ใช้แทนได้

วันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ได้ทำจดหมายเปิดผนึกแสดงความไม่เห็นด้วยต่อคําชี้แจงของนายเบญจมินทร์ สุกาญจน์จที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนทางบก ปี พ.ศ.2543 หรือ MOU43 ซึ่งนายเบญจมินทร์ อ้างว่ายังมีประโยชน์ ทำให้ไทยได้เปรียบกัมพูชา เพราะมีข้อตกลงห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ ไทย-กัมพูชาต้องร่วมมือกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เพื่อจัดสำรวจ-ทำแผนที่ใหม่ร่วมกัน และไม่ดึงประเทศที่ 3 มาแก้ปัญหา 2 ประเทศ พร้อมยังเตือนว่าถ้ายกเลิก MOU43 ก็จะหนีแผนที่ 1 : 200,000 ไม่พ้น

เนื้อความในจดหมายเปิดผนึกของนายเทพมนตรี ระบุว่า ทุกวันนี้ประชาชนจํานวนมากรู้จักและได้เห็นเอกสารหลักฐานต้นร่างของการจัดทําบันทึกความเข้าใจฯ ที่ว่านี้แล้ว จากหนังสือลงวันที่ 9 มิถุนายน 2543 ที่หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ถึงนายกรัฐมนตรีนายชวน หลีกภัย และบันทึกข้อความลงวันที่ 12 มิถุนายน 2543 ที่นายวรากรณ์ สามโกเศศ เสนอนายกรัฐมนตรีนายชวน หลีกภัย และได้รับคําอนุมัติในการเดินทางไปกัมพูชาเพื่อลงนามกับ กัมพูชา รวมถึง MOU43 ทั้ง 3 ฉบับ ไทย อังกฤษ กัมพูชา


ประชาชนจํานวนมากได้แลเห็นพฤติกรรมการปกปิดเอกสารของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย นับตั้งแต่ พ.ศ.2543 จนถึงปัจจุบันในเรื่องแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 โดยมีความพยายามไม่พูดถึงและหลีกเลี่ยง บ่ายเบี่ยงออกไปเรื่องอื่น และโดยเฉพาะการแสดงความเห็นหรือคําอธิบายจากคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฝ่ายไทย หรือที่เราเรียกว่า JBC (Thai) ซึ่งมักจะปกปิดข้อมูล ฉ้อฉลต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมีพฤติกรรมมองประชาชนเป็นคนโง่ รู้ไม่เท่าทัน และมีวิธีอธิบายเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายกัมพูชาเป็นอันมาก รวมถึงที่ท่านอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ อธิบายอยู่นี้ก็เอื้อประโยชน์เป็นอันมากต่อฝ่ายกัมพูชา เราได้เปรียบกัมพูชาอย่างไรก็ไม่มีคําอธิบายที่ชัดแจ้งตามที่แถลง และถ้อยแถลงของท่านนั้นย่อมนําพาประเทศไทยไปหลงกลเกมฝ่ายกัมพูชาซึ่งอาจน่าไปเป็นหลักฐานประกอบในคดีที่ฝ่ายกัมพูชากําลังยื่นต่อศาลโลกได้ ผมจึงมีความไม่เห็นด้วยในการคงไว้ซึ่ง MOU43 ดังเหตุผลและข้อโต้แย้งดังต่อไปนี้

1.เรื่องแผนที่มาตราส่วน 1:200,000

ข้อวิจารณ์ : ท่านอธิบดีไม่เคยพูดถึงประวัติศาสตร์ของแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่อ้างว่าเป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส ตามอนุสัญญา ค.ศ.1904 และสนธิสัญญา ค.ศ.1907 แต่ท่านแถลงเพื่อให้คนไทยสมยอมตามที่ปรากฏใน MOU43 ข้อ ค.ควาย ผมไม่ทราบว่าท่านได้ใส่ใจหรือเล่าเรียนมาทางประวัติศาสตร์มากน้อยเพียงใด เช่น ท่านได้ศึกษาไหมว่า ในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกพิพากษาตัดสินให้กัมพูชามีอํานาจอธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหารเมื่อ พ.ศ.2505 และไทยต้องปฏิบัติตามคําพิพากษาด้วยการไปล้อมรั้วลวดหนาม 150 ไร่ เราส่งหนังสือสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกคืนตัวปราสาทเพราะศาลโลกตัดสินผิด ใช้กฎหมายปิดปากล่อลวงเรา และต่อมาเราต้องถอนทหารออกจากพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารไปในการตีความคําพิพากษาอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2556

ในระหว่างการต่อสู้คดีในศาลโลก พ.ศ.2503-2505 กระทรวงการต่างประเทศและทีมทนายความของไทย ต่างต่อสู้ว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ไม่ได้เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส ตามอนุสัญญา ค.ศ.1904 และสนธิสัญญา ค.ศ.1907 และอย่างน้อยผู้พิพากษา 3 ท่านใน 9 ท่าน เห็นด้วยกับคําโต้แย้งของไทย ศาลโลกเองก็ไม่มีอํานาจตัดสินเรื่องเขตแดนและในที่สุดตั้งแต่นั้นมาเราไม่เคยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 แต่อย่างใด แต่การยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ท่านควรอธิบายว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ สมัยไหนและนําไปใช้กับประเทศใดนอกจากที่นํามาใช้เป็นพื้นฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา และการนํามาใช้นั้นได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไทยหรือไม่เพราะแผนที่ 1:200,000 นั้นไม่ลงรอยกับสภาพภูมิศาสตร์อันแท้จริงและขัดต่อข้อบทในอนุสัญญา ค.ศ.1904 โดยเฉพาะ “สันปันน้ำบนเทือกเขาพนมดงรัก” ที่กําหนดให้เป็นเส้นเขตแดน โดยมีตัวอย่างความไม่ลงรอยของแผนที่ เช่น กรณีปราสาทพระวิหารและภูมะเขือ เป็นต้น

2.ตามที่ท่านแถลงอย่างมั่นใจว่า “ประเทศไทยได้เปรียบจาก MOU43 เนื่องจาก MOU43 เป็นการกําหนดกรอบความตกลง และกลไกการปักปันเขตแดน เพื่อร่วมกันสํารวจ-จัดทําหลักเขตแดน เพื่อให้ได้แผนที่ ที่นํามาใช้ได้จริง โดยใช้หนังสือสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 เป็นเอกสารประกอบ เนื่องจากหนังสือสัญญาดังกล่าวได้พูดถึงคณะกรรมการปักปันเขตแดน เพื่อให้ไปทําแผนที่ตามหลักสันปันน้ำ แม่น้ำ และ แนวเส้นตรง รวมถึงยังมีเอกสารอื่น ๆ เช่น แผนที่ที่จัดทําขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดน และ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และ 1907 ระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส จึงเป็นที่มาของ MOU43 และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ไทย-กัมพูชา”


ข้อวิจารณ์ : จากที่ท่านได้แถลงอย่างมั่นใจเช่นนี้ ท่านไม่ลงรายละเอียดในประเด็นที่ว่า คณะกรรมการปักปันเขตแดน มีจํานวน 2 ชุดตามอนุสัญญา ค.ศ.1904 และสนธิสัญญา ค.ศ.1907 ในรายงานการประชุมของคณะกรรมการปักปันชุดแรกเมื่อมีการสํารวจและปักปันเสร็จสิ้นได้มอบหมายให้ฝ่ายฝรั่งเศสไปทําแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จํานวน 11 ระวาง และเมื่อพิมพ์เสร็จแล้วจะต้องนําแผนที่เข้าที่ประชุมของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเสียก่อน ปรากฏว่าแผนที่ทั้ง 11 ระวางไม่เคยเข้าที่ประชุมซึ่งนี่คือความจริงที่ไทยเราเคยต่อสู้ในคดีปราสาทพระวิหาร และไม่เคยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทั้ง 11 ระวางที่ว่ามานี้ เพราะไม่ได้เป็นผลงานคณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ

ส่วนคณะกรรมการปักปันเขตแดน ชุดที่ 2 ตามข้อบทสนธิสัญญา ค.ศ.1907 ซึ่งสํารวจและจัดทําหลักเขตแดน โดยการสํารวจและปักปันเขตแดนมี “บันทึกวาจา โครงร่างแผนที่มาตราส่วน 1:1,000-10,000 กํากับทีละหลักเขตเพื่อใช้เป็นหลักฐานการถูกเคลื่อนย้ายสูญหายหรือการถูกทําลาย การปักหลัก 74 หลักเขตเสร็จสิ้น จากช่องสงําเป็นเขตแดนหลักที่ 1 ไปจนถึงบ้านหาดเล็กเป็นหลักเขตแดนที่ 73 (ที่ว่าหลักเขตมีทั้งหมด 74 หลักเขตนั้นก็เป็นเพราะหลักเขตที่ 22 และ 22B มี 2 หลักเขตติดต่อกัน) จากรายงานการประชุมได้มีการจัดทําแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และต่อเนื่องจากคณะกรรมการปักปันชุดแรกจํานวน 5 ระวาง เรียงตามระวางหมายเลข 1-5 โดยระบุว่าจะต้องลงตําแหน่งเครื่องหมายแสดงหลักเขตบนแผนที่ด้วย และเมื่อพิมพ์แผนที่เสร็จ แล้วจะต้องนําเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ปรากฏว่าแผนที่ 5 ระวางเมื่อพิมพ์เสร็จไม่ปรากฏเครื่องหมายแสดงตําแหน่งหลักเขตทั้ง 74 หลักและไม่ได้เข้าที่ประชุม

แผนที่ของคณะกรรมการปักปันเขตแดน มาตราส่วน 1:200,000 ตามที่ท่านอธิบดีกล่าวถึงว่าเป็นผลงานของคณะกรรมการฯตามอนุสัญญาและสนธิสัญญาจึงสมควรเป็น “แผนที่เก๊ ไม่ถูกต้อง และเราไม่เคยยอมรับในการไปต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร”

3. ท่านอธิบดียังอธิบายต่อไปว่า “หน้าที่ของคณะกรรมาธิการ JBC ไทย-กัมพูชาว่า มีหน้าที่สํารวจจัดทําหลักเขตแดน ทําแผนแม่บทกําหนดอํานาจหน้าที่ กําหนดความเร่งด่วนของพื้นที่ และมอบหมาย และกํากับ ของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิค หรือ JTSC ผู้ที่ลงพื้นที่ เพื่อสํารวจเขตแดน และพิสูจน์ตําแหน่งที่แน่ชัดของหลักเขตแดนทั้ง 74 หลักเพื่อจัดทําแผนที่ รวมถึงการพิจารณารายงาน และข้อเสนอของคณะกรรมาธิการ เทคนิค และที่สําคัญคือการผลิตแผนที่ที่ไทย-กัมพูชาสามารถนํามาใช้ร่วมกันได้จริง ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน”

ข้อวิจารณ์ : เป็นความจริงใช่หรือไม่ใช่ว่า เมื่อคณะอนุกรรมาธิการเทคนิค หรือ JTSC ผู้ที่ลงพื้นที่เพื่อสํารวจเขตแดนได้ร่วมกันกับฝ่ายกัมพูชาไปสร้างเส้นเขตแดน 2 เส้น ตลอดแนวพรมแดนเพราะยืนยันด้วยหลักฐานคนละอย่าง เช่น แผนที่คนละฉบับ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นบริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาเมือนโต๊ด ฝ่ายกัมพูชาปักหลักแดง ฝ่ายไทยปักหลักน้ำเงิน สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้ทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน อันเป็นผลมาจากการใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และการอ้างบันทึกวาจา โครงร่างแผนที่มาตราส่วน 1:1,000-10,000 ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนตามสนธิสัญญา 1907 สงคราม 5 วันที่เกิดขึ้นจึงมีสาเหตุมาจากการดําเนินงานจอง JTSC อันมาจาก TOR46 และ MOU43 รวมถึงทีมสํารวจที่ร่วมกับกรมแผนที่ทหารบกของไทย จนก่อให้เกิดการแสดงสิทธิ์แต่ละฝ่ายที่จะต้องจัดกําลังร่วมลาดตระเวนและดูร่วมกัน เช่น ที่ปราสาทตาเมือนธม และที่ปราสาทตาควาย JTSC ก็ไปขีดเส้นเขตแดนผ่ากลางตัวปราสาท และในวันนี้ฝ่ายกัมพูชาได้ครอบครองปราสาทตาควายอย่างสมบูรณ์ โดยที่ JBC หรือกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ทําการประท้วง ปัญหาของ MOU43 มีมากมายแต่ท่านไม่เคยใส่ใจที่จะนํามาบอกกล่าว และข้อที่ท่านคิดว่ามันเป็นข้อดี มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น โดยเฉพาะที่ประเทศไทยต้องทําการประท้วงกว่า 600 ครั้ง มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินจริง ไม่มีประเทศไหนที่เขาหน้าด้านแบบกัมพูชาและด้านทนแบบไทยได้ขนาดนี้เพื่อกอด MOU43 เอาไว้

4. ท่านทําเหมือนไม่เคยติดตามผลงานของการเจรจาใน JBC (ซึ่งท่านก็นั่งอยู่ในกรรมาธิการ) หรือแค่ท่องจําเนื้อหาใน MOU43 มาอธิบายให้ประชาชนได้ทราบอย่างหมูอย่างหมา ความเป็นผู้ดีของพวกท่านทําให้ผมในฐานะประชาชนคนหนึ่งดูโง่นักหรือ? ท่านกล่าวว่า “ใน MOU43 กําหนดให้ทั้งไทยและกัมพูชา จะต้องงดเว้นการดําเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการสํารวจเขตแดน เช่น การไม่ขุดคูเลท หรือการไม่ควรมีทหาร เป็นต้น และหากเกิดปัญหาการตีความการบังคับใช้ MOU ต่อพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่าย ก็จะต้องมาเจรจากันตามที่ MOU กําหนดไว้ โดยไม่ได้มีการระบุให้บุคคลที่ 3 หน่วยงานที่ 3 หรือหลีกเลี่ยงไปหากลไกอื่นมาร่วมแก้ปัญหา เพราะตาม MOU43 กําหนดว่า เรื่องปัญหาพื้นที่ให้เป็นเรื่องระหว่าง 2 ประเทศไทย-กัมพูชา และที่สําคัญ MOU43 ยังกําหนดให้ทั้งไทย-กัมพูชา จะต้องร่วมกันในการกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ เพื่อให้อนุกรรมาธิการ JTSC สามารถลงพื้นที่สํารวจเขตแดน ในการจัดทําแผนที่ใหม่ได้อย่างปลอดภัยด้วย”

ข้อวิจารณ์ : เรื่องนี้ประชาชนที่เขาใส่ใจเขารับทราบมาโดยตลอดว่ามันล้มเหลว และสงคราม 5 วันที่เกิดขึ้นก็มาจากข้อ 5 ที่ท่านนํามาจาก MOU43 การไม่กระทําการใดๆนี่แหละมันคือปัญหา การเอาแต่ประท้วง มันไม่เคยได้ผล เหมือนท่านไปอยู่ดาวอังคารมานาน อีกอย่างไม่มีบทลงโทษอะไรเลย

5. ท่านยังย้ําอีกว่า “ถ้าจะยกเลิก MOU43 ก็ไม่สามารถหนีข้อเท็จจริงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 ได้ เพราะถือเป็นแม่บทกําหนดรายละเอียดไว้ และไม่สามารถหนีแผนที่ 1:200,000 ได้ และถ้าจะยกเลิกไป ก็ต้องกลับไปใช้เอกสารทั้งหมด ซึ่งถูกรวบรวมไว้ใน MOU43 หรือเป็นการกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตามกลไกที่มีอยู่ รวมถึง MOU43 ยังเป็นตัวกําหนดกฎเกณฑ์การไม่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นกฎสําคัญให้ทั้ง 2 ฝ่ายปฏิบัติตาม เพราะปัจจุบันก็เห็นชัดเจนว่าฝ่ายใดเป็นผู้ผิดกฎเกณฑ์ และการสํารวจจัดทําเขตแดน ชุดสํารวจจะต้องได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล จึงป็นหน้าทั้ง 2 ฝ่าย ในการเก็บกู้ และมีการตกลงร่วมใจกันแล้วในการใช้กลไก MOU43 ร่วมกัน โดยไม่อ้างถึงบุคคลที่ 3

ข้อวิจารณ์ : สําหรับเรื่องนี้ท่านไม่เข้าใจสมควรกลับไปอ่านรายละเอียดเรื่องแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในคําพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารที่จัดแปลและพิมพ์โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายเมื่อพ.ศ.2505 เราอาศัยอนุสัญญา ค.ศ.1904 สนธิสัญญา ค.ศ.1907 รายงานการประชุม บันทึกวาจา แผนที่กํากับหลักเขตแต่ละหลัก เขต โดยไม่ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ก็ย่อมได้เพราะแผนที่นี้มิได้เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันฯ แถมมีสภาพแท้ง เก๊ ไม่ถูกต้อง เราต้องยึดถือสิ่งที่เคยไปยืนยันเรื่องข้อสงวนสิทธิ์ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญของเราก็วินิจฉัยในประเด็นนี้ว่าข้อสงวนสิทธิ์ของไทยยังดํารงอยู่ตามที่ปรากฏอยู่ในกฎบัตรสหประชาติ มีแต่กระทรวงการต่างประเทศของท่านที่ไปยึดถือธรรมนูญศาลโลกที่มีอายุความ 10 ปี ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายดาวเทียมหรือไลด้าก็ล้วนแล้วแต่นํามาใช้ในการสํารวจและจัดทําหลักเขตแดนได้ แต่กระนั้นท่านต้องยึดหลักประวัติศาสตร์ พื้นที่ และเป้าประสงค์ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนที่มีอยู่ในรายงานการประชุมด้วย

ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศมักปกปิดความจริงที่ไปแอบทํา จนข้าราชการในกระทรวงต้องนําข้อมูลทั้งลับไม่ลับออกมาเตือนภัยสังคม คือถ้าท่านคิดว่าข้อมูลที่ผมนํามาตอบโต้ท่านไม่เป็นความจริง ขอความกระจ่างด้วยว่าไม่จริงตรงไหน อย่างไร และการที่ท่านไปอํานวยประโยชน์ให้กับฝั่งกัมพูชาอย่างมากมาย เช่น การให้ทุนสนับสนุนการศึกษาต่อ ทํานี่นั้นให้โดยการใช้งบประมาณของแผ่นดินมันถูกต้องหรือไม่ ผมกับท่านอาจได้พบกันหลายเวทีในอนาคตที่จะมีขึ้น (ผมมีข้อเสนอมากมาย)

บางทีภาคประชาชนบางคนเขาอยากท้าทายท่านมาดีเบตออกสื่อร่วมกันสักครั้งจะเป็นการดีหรือไม่ครับ

ขอแสดงความนับถือ

นายเทพมนตรี ลิมปพยอม
ประชาชนคนไทย










กำลังโหลดความคิดเห็น